27.2 C
Bangkok
วันเสาร์, กันยายน 21, 2024

5 กิจกรรมทางน้ำ ที่คุณต้องทำในบรูไน

สำหรับใน ประเทศบรูไน เป็นประเทศเล็ก ๆ บนเกาะบอร์เนียว แม้บรูไนจะมีพื้นที่ติดทะเลแต่ใช่ว่าจะมีสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลที่โดดเด่นเท่าใดนัก หากแต่จะประเทศนี้มีชื่อเสียงในเรื่องของการขุดเจาะน้ำมันดิบในทะเลเสียมากกว่า ส่วนใหญ่ชายหาดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวในบรูไนก็มีไม่มากเท่าใดนัก อย่างหาดตูตง ที่อยู่ระหว่างกรุงบันดาร์เสรีเบกาวันและเมืองซีเรีย ซึ่งไม่ค่อยต่างกับ สิงคโปร์  ที่แม้ภูมิประเทศจะเป็นเกาะ แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นในเรื่องของแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล เช่นกัน ส่วนชายหาดและที่พักตากอากาศส่วนใหญ่ถูกสร้างมาเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของนักท่องเที่ยวมากกว่า แต่กระนั้นบรูไนก็ยังมีกิจกรรมทางน้ำที่น่าสนใจต่าง ๆ อยู่ไม่น้อย

กิจกรรมทางน้ำบนชายหาดบรูไน

การไปเที่ยวพักผ่อน ผ่อนคลายสบายๆ บนชายหาดอันสวยงามของบรูไน ที่นอกจากจะเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม และแหล่งอารยธรรมแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับทำกิจกรรมทางน้ำสนุก ๆ พร้อมบรรยากาศการพักผ่อนแบบธรรมชาติ ที่บรูไนเอง แม้จะไม่โดดเด่นทางการท่องเที่ยวทะเล แต่นักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนแบบชิล ๆ  ซึ่งกิจกรรมทางน้ำของแต่ละชายหาด อาจจะแตกต่างกันออกไป ด้วยความที่เป็นประเทศแห่งเมืองน้ำมัน กิจกรรมหวือหวาหรือสไตล์แอดเวนเจอร์จึงไม่ค่อยได้มีให้เห็น อาจจะเป็นการเล่นฟุตบอล หรือวอลเล่ย์บอลชายหาดเท่านั้น เพื่อการพักผ่อนแบบแท้จริง

เที่ยวชายหาดกับกิจกรรมทางน้ำทะเลแสนสวยของบรูไน

การท่องเที่ยวทะเลแบบริมน้ำเช่นนี้ ที่บรูไนก็มีกิจกรรหลากสไตล์ไว้คอยบริการและรองรับนักท่องเที่ยวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ และชิลๆ กับบรรยากาศริมหาด ไม่ว่าจะเป็นชายหาด  หาด Muara, หาด Serasa ,หาด Meragang, และหาด Pantai Seri Kenangan เนื่องจากบรูไนอยู่ติดกับทะเลจีนใต้ จึงมีชายหาดที่ล้อมรอบด้วยธรรมชาติ ชายหาดแต่ละที่ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและโดดเด่น ส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมทางน้ำแบบเบาๆ อย่างการเล่นน้ำทะเล และการดำน้ำตื้นดูปะการัง ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่เน้นกิจกรรรมเท่าใด

กิจกรรมทางน้ำกับการพักผ่อนชิล ๆ ริมทะเล

แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ อันดับต้นๆ ของบรูไนที่หากเป็นการท่องเที่ยวทางทะเล คุณสามารถ เลือกเดินทางมาพักผ่อนริมทะเลแบบชิลๆ ซึ่งสามารถเลือกชายหาดที่สวยงามของประเทศบรูไนได้ตามใจชอบ เพราะทะเลที่บรูไนเองก็สวยไม่แพ้ที่อื่นเหมือนกัน และยังมีบริการ ร้านอาหาร โรงแรม สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ  สำหรับใครที่อยากจะหลีกหนีความจำเจ กับการงานอันน่าเบื่อ ลองแวะมานั่งพักผ่อนชิลๆ ทั้งกลางวัน และดินเนอร์ริมทะลหรือปาร์ตี้ชายหาดกลางคืน เพื่อปล่อยเวลาล่องลอยไปกับสายลมเป็นการชาร์จแบต สำหรับการใช้ชีวิตต่อไปในวันพรุ่งนี้ และเป็นการพักผ่อนจะทำให้คุณมีความสุขอย่างแน่นอน

ชมหมู่บ้านกลางน้ำที่ใหญ่ที่สุด

กิจกรรมทางน้ำอีกอย่างหนึ่งก็คือ การไปชมกัมปงไอเยอร์ เป็นหมู่บ้านกลางน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก  โดยตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำบรูไน ซึ่งที่นี่เป็นหมู่บ้านกลางน้ำที่มีชาวพื้นเมืองอาศัยต่อเนื่องกันมายาวนานกว่า 1,300 ปี เลยทีเดียว ส่วนเสน่ห์ของกัมปงไอเยอร์ คือศิลปะของการสร้างบ้านเรือนแบบพื้นๆ นับพันหลัง และปลูกสร้างอยู่บนเสาค้ำยันโดยมีการและเชื่อมต่อกันด้วยสะพาน ซึ่งนอกจากเป็นหมู่บ้านสำหรับอาศัยแล้ว ยังมีมัสยิด โรงเรียน สถานีอนามัย ร้านค้า สถานีตำรวจ และร้านอาหาร แบบครบวงจรอีกด้วย

หมู่บ้านกัมปงไอเยอร์
หมู่บ้านกัมปงไอเยอร์ หมู่บ้านกลางน้ำที่ใหญ่ที่สุด

ล่องเรือชมทัศนียภาพกิจกรรมทางน้ำยอดฮิต

การล่องเรือ หรือนั่งเรือแท็กซี่ เป็นกิจกรรมทางน้ำ ที่สามารถใช้บริการได้ตลอด เพราะนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาชมทัศนียภาพต่างๆ ที่อยู่ติดริมแม่น้ำ หรือทะเล ด้วยการเหมาหรือจ้างเรือเพื่อที่จะดูวิถีชีวิตต่างๆ ของชาวบ้านที่อยู่ริมน้ำ รวมถึงการนั่งเรือรอบหมู่บ้านกลางน้ำแบบรอบๆ ที่จะทำให้การสัมผัสกับบรรยากาศของคุณเป็นไปอย่างใกล้ชิด แม้จะดูเป็นการใช้ชีวิตแบบพื้นบ้านแต่ชีวิตในกำปงไอเยอร์ก็นับว่าสะดวกสบาย เพราะมีทั้งเครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ดาวเทียม อินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถเดินทางมาสัมผัสด้วยบริการเรือแท็กซี่ได้ตลอดการเดินทาง

สันป่าเกี๊ยะ เชียงใหม่

ซึ่งการเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ก็ไม่ยากเลยคะขับไปตามทางหลวงหมายเลข 107(เชียงใหม่-ฝาง) มองซ้ายไว้คะประมาณหลักกิโลเมตรที่67-68 จะมีป้ายบอกไปทางหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมานระยะทางประมาณ 21 กิโลเมตร แต่การเดินทางไปสันป่าเกี๊ยะนั่น ค่อนข้างที่จะลำบาก รถยนต์ที่ใช้ควรเป็น รถโฟร์วิลคะ แต่เราเปรี้ยวคะ แว๊นมอไซค์กันไป แต่มอไซค์ที่จะขึ้นไปได้ควรเป็นเกียร์ธรรมดานะคะ เพราะถนนบางช่วงในการขึ้นไปสันป่าเกี๊ยะนั้น ค่อนข้างชันและเป็นทางลูกรังค่ะ

สันป่าเกี๊ยะ เชียงใหม่
แรกๆทางก็ยังเป็นคอนกรีตอยู่นะคะ ทำให้เราดีใจเล่นเพราะทางขึ้นแรกๆดูดีมาก พอพ้นป้อมมาเท่านั้นละคะ

พอถึงครึ่งทางธรรมชาติก็ทำให้เราตื่นเต้น เพราะสองข้างทางมีต้นพญาเสือโคร่งที่แข่งกันบาน พลอยทำให้เราหายเมื่อตูดกันสักนิดคะ ระหว่างทางก็จะเห็นหมู่บ้านเล็กๆคะ ก็น่ารักดีได้เห็นวิถีชีวิตที่อยู่กันอย่างเรียบง่าย พอใกล้ๆถึงหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมาน เราจะได้เห็นธารน้ำซึ่งสวยงามมากๆ เราไม่รู้เลยคะว่าเราข้ามเขากันกี่ลูก เพราะเป็นเขาลูกเล็กลูกน้อยสลับกันไป อ้อ เกือบลืมไปคะ บนนั้นมีชาวบ้านซึ่งเขาก็แว๊นมอไซค์กันค่อนข้างเร็วค่ะ ระวังด้วยนะคะ บิดกันไปๆเรื่อยๆเราก็ถึง

สันป่าเกี๊ยะ เชียงใหม่

ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมที่สูง สันป่าเกี๊ยะ ซึ่งอยู่ในความดูแลของ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่คะ ซึ่งตรงนี้ห่างจากหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมานประมาณ 300 เมตรคะ ถ้าถึงหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมานแล้ว ไม่มีเจ้าหน้าที่ไม่ต้องตกใจนะคะเพราะว่าที่นี่มีเจ้าหน้าที่น้อย มีแค่ 2-3คนเองคะ เจ้าหน้าที่ที่หน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมานจะแนะนำเราให้ไปกางเต็นท์ที่สันป่าเกี๊ยะคะ เพราะวิวสวยกว่า

สันป่าเกี๊ยะ เชียงใหม่

พอเราขับรถมาถึง ก็สวยอย่างที่เขาบอกจริงๆคะ มองเห็นวิวฝั่งดอยหลวงเชียงดาวด้วย เราออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 10 โมงคะ ถึงที่สันป่าเกี๊ยะประมาณ บ่ายสาม พักมาเรื่อยๆขับมาเรื่อยๆคะ ไม่รีบร้อน พอถึงเห็นวิวแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง บนสันป่าเกี๊ยะไม่มีไฟฟ้านะคะแต่มีเครื่องปั่นไฟซึ่งเขาจะปั่นไฟตั้งแต่ 6โมงเย็น ถึง 4 ทุ่มคะข้างบนมีบ้านพัก เป็นหลังคะ หลังละ 1000 บาท แต่ถ้ากางเต็นท์ก็คนละ 50 บาทคะซึ่งเราก็เลือกกางเต็นท์คะ ข้างบนไม่มีร้านอาหาร ต้องเตรียมไปเอง แต่ถ้าอยากให้เจ้าหน้าที่เตรียมให้ หัวละประมาณ 350 บาทคะ ได้กับข้าว2 มื้อ ทั้งบ้านและอาหาร ต้องโทรติดต่อที่คณะเกษตรก่อนนะคะ ส่วนเต็นท์กางได้เลยค่า

สันป่าเกี๊ยะ เชียงใหม่
เรามาถึงเร็ว เลยทำให้ได้ที่กางเต็นท์ที่วิวดีที่สุด อิอิ พอกางเต็นท์เสร็จเราก็ออกสำรวจพื้นที่บริเวณรอบๆค่ะ

ความโชคดีของเราในทริปนี้คือ กับข้าวมื้อเย็น ซึ่งมีอาจารย์ที่เค้าขึ้นมาพักผ่อน เป็นอาจารย์ที่เคยดูแลสันป่าเกี๊ยะแต่เกษียณไปแล้ว แบ่งอาหารมื้อเย็นมาให้เราคะ ซึ่งก็เป็นลาภปากของเราเลย ฮ่าๆ มีอาหารพื้นเมืองด้วยคะ แกงขนุน อร่อยเหาะเลย

สันป่าเกี๊ยะ เชียงใหม่

การขึ้นมาบนนี้เป็นการได้สัมผัสวิถีชีวิต และธรรมชาติที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่ซึ่งถือว่าคุ้มมากค่ะในการเมื่อยตูดขึ้นมา ฮ่าๆ

พอเริ่มมืด ดาวเริ่มมา บนนี้สามารถมองเห็นตัวเมืองอำเภอเชียงดาวได้ด้วยนะคะ หน้าเต็นท์จะเห็นแสงไฟระยิบระยับ แข่งกับแสงดาวเลย เรานั่งคุยกันสักพัก ก็ต้องเข้าเต็นท์คะเพราะมันหนาวมากก ลมเริ่มแรงน้ำค้างเริ่มลง บรึ๊ย ย ย

พอรุ่งเช้า ก็จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้น แล้วก็เห็นเมฆที่ฝั่งดอยหลวงเชียงดาวค่ะ ธรรมชาติสร้างสรรค์ความสวยงามได้อย่างลงตัวมากๆเลยคะ  กดชัตเตอร์กันรัวๆค่ะ

สำหรับความงดงามของสันป่าเกี๊ยะขอจบลงเพียงเท่านี้นะคะ เที่ยวเมืองไทยไม่ไปไม่รู้ค่า ไปแล้วค่าขับรถลงดอยเมื่อยตูดต่อ แอร๊ย ย ย 🙂

เที่ยวเมืองกาญจนบุรี ข้ามสะพานแม่น้ำแคว

ผมว่าเมืองไทย มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย และ ไปได้หลายจังหวัด ถ้าคุณเป็นคนชอบทะเล คุณสามาถไปได้ทั้งภาคตะวันออก ภาคใต้ ไปทั้งชายหาด ไปทั้งเกาะ ถ้าชอบป่าชอบเขา ไม่ต้องหาให้ยากเลยครับ เพราะพื้นที่อุทยานของเมืองไทย ทั่วทุกภาคเต็มไปด้วยป่าเขาและต้นไม้นานาพันธุ์ ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ผมและเพื่อนๆ ชวนกันไป เที่ยวเมืองกาญจนบุรี  พวกเราไม่ได้หาข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวมาเท่าไหร่ รู้แต่เพียงว่า ที่กาญจนบุรีมีล่องแพ

สะพานข้ามแม่น้ำแคว จังหวัดกาญจนบุรี

 

หลังจากหาข้อมูลได้ พวกเราขับรถไปถึงก็เกือบค่ำแล้วเส้นทางกาญจนบุรีจะไม่เหมือนเส้นทางไปชลบุรีเลยครับ เพราะระหว่างสองข้างทางคุณจะเห็นต้นไม้ยีนเรียงรายตลอดสาย นานๆ จะเจอบ้านเรือนคนซักหลัง พวกเราเห็นถนนว่างๆ ก็นึกสนุกลงไปถ่ายรูปเล่นกับถนนและต้นหญ้าข้างทางผมว่ามันให้ความรู้สึกอิสระอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเราไปถึงก็เย็นมากแล้ว

เราจึงมองหา มื้อเย็นของวันแรกที่กาญจนบุรี เป็นร้านคุณป้าครับ อยู่บนแพริมน้ำ คุณป้าใจดีมาก เพราะให้พวกเราเข้าครัวลงมือทำกับข้าวเอง ผมยังจำไข่เจียวใส่ใบโหระพา ส้มตำที่เราทำกันเอง ได้เลยครับรสชาติอร่อยอย่าบอกใคร

รุ่งขึ้นพวกเราก็ติดต่อแพครับ เค้าก็จะพาเราล่องไปตามแม่น้ำแคว กาญจนบุรี ดูสองข้างแม่น้ำที่มีน้ำตกแควน้อย ต้นไม้ร่มรื่น แล้วก็พาเรามาผูกไว้ ตรงนี้เราสามารถเล่นน้ำได้อย่างสนุกสนานกันเลยทีเดียว เพราะแพนี้เราเหมามา กว้างขวางพอสมควร โดดขึ้นโดดลงเล่นน้ำ ลอยน้ำกันจนเมื่อยเลยครับ บ้างก็นอนรับลมเย็นๆ พอได้เวลา ก็มีเรือมาลากเรากลับที่พัก ถือเป็นการพักผ่อนที่มีความสุขจริงๆ เพราะได้ผ่อนคลาย และได้อยู่กับธรรมชาติ  1 วันเต็มๆ เลย

วันถัดมาพวกเราตื่นแต่เช้าเพราะทราบว่าแถวนั้นมีน้ำพุร้อนให้แช่ตัวครับ ผู้คนไปกันแต่เช้า เป็นร้อยๆ คนเพื่อมาแช่น้ำพุร้อนแห่งนี้ และผมคิดว่าน้ำพุร้อนที่กาญจนบุรี ร้อนที่สุดที่ผมเคยแช่มาเลยครับ เพราะมันร้อนยังกับน้ำเดือดๆ กว่าจะเอาตัวลงไปได้ก็ใช้เวลาอยู่นานทีเดียว แช่จนตัวแดงกันเลยครับ เมื่อทุกคนแช่น้ำเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาอำลาน้ำพุร้อนที่กาญจนบุรี

แต่ก่อนกลับ อีกหนึ่งสถานที่ที่ทุกคนต้องแวะมาก็คือ สะพานข้ามแม่น้ำแควครับ เมื่อก่อนเห็นจากในรูปดูเหมือนใหญ่มาก แต่จริงๆ แล้วไม่กว้างครับ แต่ก็มีมนต์เสน่ห์ของความเก่าอยู่พอสมควร พวกเราพากันเดินข้ามสะพานไปอีกฝั่ง นั่งเล่นริมน้ำให้หายเหนื่อยก่อนที่จะออกจากกาญจนบุรี ระหว่าทางที่กลับเราแวะซื้อของฝาก ขนมจากกาญจนบุรี กลับไปมากมาย และนี่คงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมหลงใหลในจังหวัดกาญจนบุรีครับ เพราะด้วยธรรมชาติที่ไม่เหมือนจังหวัดอื่น ทำให้ผมต้องกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน

เที่ยวตลาดน้ำอัมพวา เสน่ห์ของตลาดน้ำที่ไม่เคยจางหาย

ผู้เขียนมาถึงตลาดน้ำอัมพวา เวลาประมาณบ่ายสามโมง ซึ่งในช่วงเวลานั้นตลาดน้ำก็เปิดทำการเรียบร้อย ร้านต่างๆมากมายที่ตั้งอยู่ริมน้ำก็กำลังโชว์อะไรหลายๆอย่างเพื่อที่จะบอกถึงความอร่อยของร้านตนเอง ผมเดินและกินก๋วยเตี๋ยวเรือแบบนั่งกินริมน้ำครั้งแรก อร่อยมากๆและได้บรรยากาศดีครับ

ตลาดน้ำอัมพวา
บรรยากาศยามเย็น ที่ตลาดน้ำอัมพวา

สักพักใหญ่พอตะวันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทอง เสียงวิทยุตามสายก็เปิดเพลงมนต์รักแม่กลองดังลอยมาแต่ไกล ตอนนั้น ณ เวลานั้นฟังแล้วฟินมากๆครับ คือถ้าใครได้มาฟังในช่วงที่ผู้เขียนได้กล่าวถึงจะต้องมีความรู้สึกที่ไม่แตกต่างกันอย่างแน่นอน ผู้เขียนเดินไปอยู่บนสะพานที่ข้ามสองฝั่งและนั่งดูตลาดอัมพวาไปเรื่อยๆ

คุณผู้อ่านเชื่อหรือไม่ คนที่มาเที่ยวนั้นไม่มีคนอายุมากๆเลย มีแต่หนุ่มสาวศิลปินทั้งหลายที่มาเที่ยวกัน จนผู้เขียนคิดว่า หรือนี่จะเป็นแหล่งจีบกันของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบการเที่ยวผับเทคเป็นต้นแต่ดูแล้วก็มีความสุขดีนะครับ เห็นเขามากันเป็นคู่ทำกิจกรรมร่วมกัน

เวลาตกเข้ายามค่ำ ผู้เขียนก็จ่ายค่าเช่าเรือ เพื่อที่จะได้พายเรือไปดูหิงห้อยที่เกาะอยู่บนต้นไม้ที่สวยงาม ตอนขึ้นเรือครั้งแรกแอบเมาเรือเล็กน้อย แต่สักพักก็โอเคครับ

บรรยากาศสองข้างทางยามเย็นได้ฟิลด์มากๆ ชิลสุดๆ เรือก็ล่องไปตามแม่น้ำท่าจีน และก็ไปตามต้นลำพูต่างๆ ซึ่งพอเข้าไปใกล้ๆ สิ่งที่เห็นคือหิงห้อยจำนวนมากที่เกาะอยู่ที่ต้นครับสวยงามมาก และน่าดูอย่างที่สุดเสียดายที่ไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปไปด้วย

เรือล่องไปอย่างเอื่อยๆ ฟังเสียงน้ำกระทบข้างเรือและเสียเจื้อยแจ้วของผู้คนที่มาดูหิงห้อยเหมือนกัน ก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายดีมากๆครับ เรือล่องอยู่สักพักประมาณ 40 นาทีก็กลับเข้าฝั่งตอนนั้นร้านรวงปิดเกือบหมดแล้วครับ ผมก็ออกมาเดินเล่นๆชิวๆ ก่อนที่จะกลับเข้าที่พัก และเตรียมเดินทางกลับในรุ่งเช้า ถือว่าคุ้มจริงๆกับการมาเยือนถิ่นอัมพวาครั้งนี้

อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ไทยประจัน

สวัสดีครับ แอดมินได้ไปเที่ยวมาอีกแล้ว หลังจากทริปที่ น่าน เมื่อต้นปี ก็หาเรื่องที่เที่ยวต่อ ขนาดกรุงเทพ ยังอากาศเย็นๆ ต่างจังหวัดน่าจะหนาวมากครับ

ครั้งนี้แอดมินได้เดินทางไปเที่ยวที่ สวนผึ้ง ราชบุรี ใกล้ๆ กรุงเทพไว้ก่อน ไปแค่เสาร์ อาทิตย์ หลังจากหาข้อมูล สถานที่ท่องเที่ยวราชบุรี แอดมินเลยเลือกสถานที่ที่เน้นเป็นธรรมชาติ ที่แรกแอดมินได้เดินทางไปที่ อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ไทยประจัน ครับ

อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ไทยประจัน

หลังจากเดินทางมาถึงที่อุทยาน ก็พบว่า ไม่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันเลย ด้วยเพราะที่นี่มันไม่ดังหรืออย่างไร จึงไม่มีใครมากัน เลยสอบถามทางเจ้าหน้าที่ที่ทำการอยู่ที่อุทยานครับ ก็ได้ความว่า ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะมากันช่วงปลายฝนต้นหนาว เพราะช่วงนั้นอากาศเย็นและ น้ำในน้ำตกจะมีมาก เหมาะกับการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน

อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ไทยประจัน

แอดมินสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่อีกครั้งว่า ที่นี่มี แหล่งท่องเที่ยวที่ใหญ่ๆ ใดบ้าง ทางเจ้าหน้าที่ได้แนะนำจุดชมทิวทัศน์เหนืออ่างเก็บน้ำ อีกสถานที่หนึ่งคือ น้ำตกไทยประจัน แต่น้ำตกไทยประจัน ไม่สามารถเดินเข้าไปเองได้นะครับ ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางเข้าไป และต้องใช้เวลาถึง 3 วัน 2 คืน ในการเที่ยวน้ำตกไทยประจัน ครับ ประกอบกับช่วงนี้เจ้าหน้าที่ไม่แนะนำให้เข้าไปครับ เพราะคาดว่าน้ำตกคงมีน้ำน้อย เกรงว่าเข้าไปก็จะผิดหวัง

อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ไทยประจัน

ด้านซ้ายมือเป็นที่จอดรถนะครับ มีเส้นทางธรรมชาติให้เดินสำรวจกัน ส่วนเนินทางขวาขึ้นไปชม อ่างเก็บน้ำไทยประจันและเข้าไปที่ น้ำตกไทยประจันครับ สังเกตป้าย จะบอกว่าน้ำตกไทยประจันต้องเดินทางเข้าไป 15 กม. และต้องเดินทาง 3 วัน 2 คืนนะครับ แต่แอดมินไม่ได้เข้าไปนะครับ เลยไม่มีภาพมาให้ชมกัน

อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ไทยประจัน

แอดมินจึงเดินทางไป จุดชมทิวทัศน์เหนืออ่างเก็บน้ำ สถานที่นี้จากที่ทำการขับรถเข้าไปประมาณ 200 เมตรก็ถึงแล้วครับไม่ไกลอย่างที่คิด

อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ไทยประจัน

เสียดายที่แอดมินมาที่อุทยาน ก็ช่วงสายไปแล้ว รูปที่ถ่ายมาเลยไม่ค่อยสวยเท่าไหร แอดมินเดินชมทิวทัศน์ อากาศเย็นๆ แต่ร้อนแดด นี้ถ้าอากาศหนาวกว่านี้ นึกว่าอยู่ที่ ปางอุ๋ง นะเนี้ย ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสได้ค้างคืน ที่นี้คงสวยมิใช่น้อย

อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ไทยประจัน
มุมพักผ่อน ถ้าร้อนแอดดมานั่งพักตรงจุดนี้ นั่งปล่อยใจ ปล่อยกาย รับลมเย็นๆ แค่นี้ก็ชิวมากแล้วครับ
อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ไทยประจัน
ช่วงนี้น้ำน้อย น้ำเลยลงค่อนข้างเยอะ ถ้าช่วงน้ำเต็มนี้คงสวยไม่น้อยเลย

อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ไทยประจัน อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ไทยประจัน

ในบริเวณ อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ไทยประจัน มีอ่างเก็บน้ำ ที่มีทัศนียภาพที่สวยงามครับ เหมาะสำหรับครอบครัว นักท่องเที่ยว ที่ชื่นชอบธรรมชาติ รักการเล่นน้ำ และแคมป์ปิ้ง ที่นี้อาจจะไม่ได้สวยมาก แต่ถ้าต้องการความเงียบสงบ ที่นี้ถือว่าโอเคเลยครับ

ที่ตั้ง อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ไทยประจัน

110 หมู่ที่ 5 บ้านไทยประจัน ต.ยางหัก อ. ปากท่อ จ. ราชบุรี   70140
โทรศัพท์ 08 7165 3278   อีเมล Thaiprachan_np@dnp.go.th

การเดินทางโดยรถยนต์

จากกรุงเทพมหานครฯ เดินทางไปจังหวัดราชบุรีได้โดยทางรถยนต์ตามถนนเพชรเกษม หรือทางถนนธนบุรี-ปากท่อ และทางรถไฟจากสถานีหัวลำโพงถึงสถานีรถไฟราชบุรี ระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร จากจังหวัดราชบุรีเดินทางโดยรถยนต์ไปตามถนนเพชรเกษม ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 3206 ระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าบ้านไทยประจัน ระยะทาง 5 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน เส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางลาดยางตลอดเส้นทาง

พิกัดอุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน : 13.2677741,99.5517217

ที่พักราชบุรี

HotelStarsDiscountPrice before and discountSelect dates
ไท่ซานสวีท★★★--View hotel
Tara Spa Ratchaburi★★--View hotel
ณ เวลา โฮเต็ล แอนด์ คอนเวนชั่น--View hotel
The Sun resort Ratchaburi★★--View hotel
My Room★★★--View hotel
ขุนเขา ตำนานไพร ไอหมอก รีสอร์ท★★★--View hotel
Sans Hotel★★★--View hotel
โรงแรมเลอเลิศ ราชบุรี★★★--View hotel
Rachabhura Hotel★★★★★--View hotel
โรงแรมเวสเทิร์นแกรนด์ราชบุรี (SHA Extra Plus)--View hotel

แก่งส้มแมว สวนผึ้ง ราชบุรี

คราวนี้แอดมิน เดินทางมาท่องเที่ยวราชบุรี หลังจาก อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน แอดมินก็มุ่งหน้าเข้าสู่แก่งส้มแมวทันทีซึ่งห่างจากอำเภอ สวนผึ้ง 25 กม.

ช่วงที่ขับมาที่ แก่งส้มแมว วิวภูเขาสวยประทับใจมากครับที่แก่งส้มแมวเราจะพบกับลำธารน้ำภาชี เกาะแก่ง โขดหิน และน้ำไม่ลึกมาก เหมาะกับนักท่องเที่ยวชอบธรรมชาติและเล่นน้ำ

แก่งส้มแมว สวนผึ้ง ราชบุรี

แก่งส้มแมวตั้งอยู่ในพื้นที่ ศูนย์ศึกษาพรรณไม้ป่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อยู่บริเวณบ้านห้วยม่วง บนเทือกเขาตะนาวศรี ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ภายในมีสวนหย่อมพักผ่อน และศูนย์จำหน่ายเครื่องเซรามิคจากคนที่หมู่บ้าน

แก่งส้มแมว สวนผึ้ง ราชบุรี

เส้นทางศึกษาธรรมชาติ จะมีดอกไม้นานาพรรณมากมาย ให้ท่องเที่ยวชมกัน แอดมินไปช่วงเย็นมากแล้ว เกรงว่า ถ้าเดินสำรวจจะมืดค่ำเกินไป จึงขอสำรวจรอบ ๆ สถานที่แทนละกัน

แก่งส้มแมว สวนผึ้ง ราชบุรี

ที่นี้จะมีลักษณะฝายกันน้ำเป็นชั้นๆ ครับเหมือนน้ำตกเล็กๆ ซึ่งสวยงามมากครับ นักท่องเที่ยวบางท่านก็ลงเล่นน้ำกัน ซึ่งน้ำที่นี้สะอาดมากครับ ลงไปเล่นได้สบายๆ เลย

แก่งส้มแมว สวนผึ้ง ราชบุรี

แก่งส้มแมว สวนผึ้ง ราชบุรี

ฝายกั้นน้ำทำไว้ดูสวยงาม สวนป่าสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสเจริญพระชนมพรรษา 5 รอบเป็นศูนย์รวมพันธุ์ไม้นานาชนิดอันมีค่าทางเศษฐกิจและเป็นแหล่งศึกษาทางธรรมชาติที่ดีเยี่ยมทั้งยังมีลำน้ำภาชีไหลผ่านกระทบแก่งหินขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในนาม “แก่งส้มแมว”

แก่งส้มแมว สวนผึ้ง ราชบุรี ที่นี้มีนกยูง เยอะมาก แต่ละตัวสวยๆ ทั้งนั้น แอดมินรอให้นกยูงผายปีก ซึ่งเท่าที่จำได้ว่า นกยูงจะผายปีกก็ต่อเมื่อต้องการโชว์คู่ของมันเอง แต่นี้ ไม่มีเลย เลยอดได้รูปที่ต้องการครับ แต่ถ้านักท่องเที่ยวต้องการเห็นตัวเป็นๆ เยอะๆ มาทีนี่ไม่ผิดหวังแน่นอน

แก่งส้มแมว สวนผึ้ง ราชบุรี

น้ำไม่แรงมากเท่าไหร ไหลเรื่อยๆ แต่ถ้าช่วงหน้าฝนอาจจะต้องระวังนะครับ คาดว่าน้ำคงเยอะมาก นี้ขนาดแอดมินมาช่วงหน้าหนาว น้ำยังเยอะเลยครับ

แก่งส้มแมว สวนผึ้ง ราชบุรี

เดินเข้ามาสักพัก ก็พบกับ จุดชมวิวบนต้นไม้ครับ แต่ขึ้นไม่ได้นะครับ ที่นี้เป็นจุดทอดพระเนตรของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ครับ เห็นแล้วเด่นมากครับ เข้ากับบรรยกาศธรรมชาติสุดๆ

แก่งส้มแมว สวนผึ้ง ราชบุรี

แก่งนี้ใหญ่มาก แต่ถ่ายมาดูเหมือนเล็กๆ น้ำน่าลงไปเล่นมากครับ ตอนแอดมินไปไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไหร ว่าจะเล่นน้ำแล้ว แต่ไม่ได้เตรียมชุดมาเลยอดไป

แก่งส้มแมว สวนผึ้ง ราชบุรี

สถานที่ตอนแรกเดินเข้าไปนึกว่าจะเล็กๆ แต่ที่ไหนได้ ต้องเดินเข้าไปอีกลึกเลย แต่แอดมินขอสำรวจเท่านี้ดีกว่าครับ เย็นมากแล้ว เดี่ยวมืดแล้วจะลำบากเอา

แก่งส้มแมว สวนผึ้ง ราชบุรี

ที่นี้มีให้บริการกางเต็นท์ด้วยนะครับ ถ้านักท่องเที่ยวท่านใดสนใจจะมาพักค้างคืนได้ไม่มีปัญหา ร้านอาหาร ห้องน้ำ มีความพร้อมหมดครับ สะดวกสบายผมว่าสวนผึ้งเดียวนี้ ถูกปรุงแต่งมากจนเกินไปแล้วครับ ตามรอยรุ่นพี่แบบ เขาใหญ่ ปาย
ถ้านักท่องเที่ยวที่อยากต้องการธรรมชาติจริงๆ และไม่ไกลจากกรุงเทพมาก ลองแวะมาที่แก่งส้มแมวก็โอเคนะครับ


ชื่อ : แก่งส้มแมว (ศูนย์ศึกษาพรรณไม้ป่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ )
ประเภท : แหล่งท่่องเที่ยวทางธรรมชาติ
ที่อยู่ : ศูนย์ศึกษาพรรณไม้ป่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ บริเวณบ้านห้วยม่วง ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี
เปิดบริการ : ปิด 18.00 น.
ค่าบริการ : เข้าชมฟรี ต้องการกางเต้นท์นอนติดต่อเจ้าหน้าที่
สถานที่จอดรถ : มี
สิ่งอำนวยความสะดวก : ร้านอาหาร เครื่องดื่ม เช่าห่วงยาง จะมีเฉพาะวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ , ห้องน้ำ , ศูนย์จำหน่ายเครื่องเซรามิคจากคนในบริเวณหมู่บ้าน
GPS : 99.280626592634 / 13.407977800699

เที่ยววัดทับกระดาน จังหวัดสุพรรณบุรี

ราชินีลูกทุ่ง “พุ่มพวง ดวงจันทร์” เป็นชื่อที่แม้กระทั่งเด็กรุ่นใหม่ๆ เองยังคงรู้จักจนถึงทุกวันนี้ เธอเป็นราชินีเพลงลูกทุ่งที่ฝากผลงานเพลงที่ไพเราะ และอยู่ในใจของใครต่อใครหลายคนมากมาย

ถึงวันนี้แม้ราชินีเพลงลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ จะจากเราไปแล้วเนิ่นนาน แต่ความทรงจำและเรื่องราวต่าง ๆ ยังคงมีให้ระลึกถึง ณ สถานที่แห่งนี้ “วัดทับกระดาน” จังหวัดสุพรรณบุรี สิ่งต่าง ๆ ของราชินีเพลงลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ ภาพถ่าย แผ่นเพลง ของพุ่มพวง ดวงจันทร์ สามารถหาได้แทบทุกอย่างจากที่นี่

วัดทับกระดาน (วัดพุ่มพวง) จัดหวัดสุพรรณบุรี

ผมเองไม่ได้มีแผนอะไรมากมายในวันที่เดินทางไป “วัดทับกระดาน” เหตุมาจากเพื่อนคนนึงบอกว่าฝันถึง “วัดทับกระดาน” เช้ามาจึงอยากไป และได้มาพูดคุยกันก็เย็น ๆ เข้าไปละ คุยกันยังไม่ทันจะรู้เรื่องแอดมิน ก็ลางานทันที เพื่อเตรียมเดินทางในวันรุ่งขึ้น

หลังจากสำรวจเส้นทางการเดินทางแล้วก็ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง ระยะทางเพียงร้อยกว่ากิโลเมตรจากกรุงเทพฯ ลุยกันเลย

วัดทับกระดาน (วัดพุ่มพวง) จัดหวัดสุพรรณบุรี

ชุดสังฆทานก็มีให้ทำบุญสำหรับพุทธศาสนิกชน โดยหยอดเงินใส่ตู้ตามกำลังศรัทธา

วัดทับกระดาน (วัดพุ่มพวง) จัดหวัดสุพรรณบุรี วัดทับกระดาน (วัดพุ่มพวง) จัดหวัดสุพรรณบุรี

ภายในโบสถ์ ก็จะมีข้าวของเครื่องใช้ แผ่นเสียง เสื้อผ้า ภาพถ่าย รวมถึงหุ่นของคุณพุ่มพวง จำนวนมาก

ประวัติราชินีเพลงลูกทุ่งผู้โด่งดัง “พุ่มพวง ดวงจันทร์”

พุ่มพวง ดวงจันทร์ มีเรื่องราวที่แสนจะน่าอัศจรรย์หลายอย่างนัก อ่านหนังสือไม่ออก แต่ก็มีพรสวรรค์ในการร้องเพลงแบบที่หาใครเปรียบได้ยาก มีชื่อจริงว่า “รำพึง จิตรหาญ” เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2504 ณ ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องจำนวน 13 คนของนายสำราญ และนางเล็ก จิตรหาญ ครอบครัวมีอาชีพรับจ้างทำไร่อ้อย

คุณผึ้งชอบร้องเพลงตัวแต่ยังเด็ก และเดินทางประกวดร้องเพลงโดยใช้ชื่อว่า “น้ำผึ้ง ณ ไร่อ้อย” และมาอยู่กับวงดนตรี ดวง อนุชา ตั้งแต่อายุประมาณ 10 ขวบ จนเมื่ออายุได้ 15 ปี บิดาและน้าชายได้นำไปฝากฝังให้เป็นบุตรบุญธรรมของ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ โดยใช้ชื่อว่า น้ำผึ้ง สกุณี ก่อนที่ไวพจน์ จะแต่งเพลงและอัดแผ่นเสียงชุดแรกให้ ชื่อเพลง แก้วรอพี่ และหันมาใช้ชื่อในการร้องเพลงว่า น้ำผึ้ง เมืองสุพรรณ เมื่อ พ.ศ. 2519

หลังจากนั้นได้ลาออกจากวงของไวพจน์ไปอยู่กับวง ศรเพชร ศรสุพรรณ มาพร้อมกับธีระพล แสนสุข ได้ไปทำหน้าที่นักร้องพ้อมทั้งเป็นหางเครื่องด้วย แต่หลังจากที่อยู่กับศรเพชรไม่นานก็ได้ย้ายไปอยู่กับวง ขวัญชัย เพชรร้อยเอ็ดได้บันทึกเสียงจากการแต่งของก้อง กาจกำแหง ร้องแก้ขวัญชัย เพลงนั้นคือ รักไม่อันตราย

ชื่อในวงการ “พุ่มพวง ดวงจันทร์” ได้มาจากการตั้งชื่อโดย มนต์ เมืองเหนือและตั้งวงดนตรีเป็นของตนเองโดยการสนับสนุนของคารม คมคาย ซึ่งเป็นนักจัดรายการวิทยุ แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก ก่อนที่จะย้ายมาสังกัดบริษัทเสกสรรเทป-แผ่นเสียง

จุดพลิกผันที่ส่งผลให้ชื่อของ “พุ่มพวง ดวงจันทร์” ดังเป็นพลุแตกนั้น หลักจากได้รับการสนับสนุนจาก ประจวบ จำปาทอง และ ปรีชา อัศวฤกษ์นันท์ ให้ตั้งชื่อวงร่วมกับ เสรี รุ่งสว่าง ในชื่อวง “เสรี-พุ่มพวง” จากจุดนี้เองที่ทำให้ชื่อเสียงสูงสุดในช่วงปี พ.ศ. 2515 – 2534 หลังจากออกจากเสกสรรเทป-แผ่นเสียงมาอยู่ในสังกัดอโซน่าด้วยเพลงจากการแต่งของลพ บุรีรัตน์ที่พลิกแนวให้หันมาร้องเพลงสนุกๆ และได้การตอบรับจากคนฟังเป็นอย่างมาก

เพลงที่มีชื่อเสียง ได้แก่ สาวนาสั่งแฟน ซึ่งเป็นเพลงจุดประกาย ก่อนจะตามมาด้วยเพลง นัดพบหน้าอำเภอ, อื้อฮือหล่อจัง, ดาวเรืองดาโรย, คนดังลืมหลังควาย, นักร้องบ้านนอก, บทเรียนราคาเพลง, หม้ายขันหมาก และอื่นๆอีกมาก นอกจากนี้ ยังได้เป็นผู้ร้องเพลง ส้มตำ (เพลงพระราชนิพนธ์) พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี

พุ่มพวงเข้าสู่วงการภาพยนตร์ และแสดงหนังเรื่องแรก สงครามเพลง สร้างโดยฉลอง ภักดีวิจิตร และอีกหลายเรื่อง ในช่วงที่แสดงภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักนักเพลง ได้พบกับไกรสร แสงอนันต์ ได้พาพุ่มพวงพามาเข้าสังกัด อ.ไพจิตร ศุภวารี และมีผลงานอีกหลายชุด เช่น ตั๊กแตนผูกโบว์ โลกของผึ้ง หลังจากนั้นมาอยู่กับห้างท็อปไลน์ก่อนจะหายหน้าไปจากวงการเนื่องจากป่วยด้วยโรคเอสแอลอี

ราชินีเพลงลูกทุ่งมีบุตรกับไกรสร 1 คน คือ “เพชร สรภพ ลีละเมฆินทร์” และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2535 พิธีพระราชทานเพลิงศพของพุ่มพวง ดวงจันทร์ จัดที่วัดทับกระดาน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. พ.ศ. 2535 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธี

นอกจากนี้ยังมีการสร้างหุ่นพุ่มพวง ตั้งอยู่ในศาลาริมสระน้ำ วัดทับกระดาน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยทางวัดจะมีการจัดงานรำลึกถึงพุ่มพวง ช่วงประมาณวันที่ 13 มิถุนายน ของทุกปี ซึ่งเป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของเธอ

พิกัดวัดทับกระดาน : 14.142366, 99.914850
ที่อยู่วัดทับกระดาน : ตำบล บ่อสุพรรณ อำเภอ สองพี่น้อง สุพรรณบุรี 72190

แผนที่วัดทับกระดาน

สอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่

โทร 035-530113, 089-9226234

ประวัติวัดทับกระดาน

จากคำบอกเล่าของพระใบฎีกาสุพจน์ ฐิตาโภ เจ้าอาวาสวัดทับกระดาน ได้เล่าประวัติความเป็นมาของวัดทับกระดานไว้ว่า เดิมนั้นวัดทับกระดานเป็นเพียงสำนักสงฆ์ และไม่ได้ตั้งอยู่ที่วัดทับกระดานในปัจจุบัน แต่ว่าอยู่ไปทางทิศใต้อีกประมาณ 1 กิโลเมตร ในอดีตนั้นชาวบ้านเรียกชื่อว่า “บ้านทัพกันดาร” เนื่องจากเป็นสถานที่กันดาร มีผู้คนอาศัยอยู่น้อยนิด การเดินทางไปมาก็ลำบาก ไม่สะดวก ต้องใช้วิธีการเดินเท้า หรือใช้วัว ควายเป็นพาหนะเท่านั้น

วัดทับกระดาน จังหวัดสุพรรณบุรี วัดทับกระดาน จังหวัดสุพรรณบุรี วัดทับกระดาน จังหวัดสุพรรณบุรี

ในปี พ.ศ. 2476 ปู่บุญ ดอกไม้หอม และ ปู่เสาร์ โภคา พร้อมด้วยชาวบ้านอีกหลายชีวิตได้ร่วมแรงร่วมใจกันบริจาคทรัพย์เพื่อก่อสร้างวัดทัพกันดาร บนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ และได้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น “วัดทับกระดาน” เพื่อความเป็นสิริมงคล ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวบ้านได้อพยพและย้ายวัดทับกระดานมาสร้างใหม่บนพื้นที่ปัจจุบันนี้ แต่ว่าช่วงแรกเริ่มนั้นก็ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก ซ้ำยังเป็นวัดร้างไปช่วงหนึ่งด้วย

จวบจนกระทั่งปี พ.ศ. 2490 พระครูสุวรรณสาธุกิจ ซึ่งเคยบวชและจำพรรษาที่วัดทับกระดาน ได้เดินทางกลับมาเยี่ยมญาติโยมที่บ้าน ชาวบ้านทราบข่าวจึงได้ร่วมกันนิมนต์ให้ท่านช่วยดูแลพัฒนาวัดทับกระดานให้เจริญรุ่งเรือง โดยเริ่มแรก ๆ นั้นมีเพียงกุฎิสงฆ์ซึ่งเป็นเพียงกระต๊อบที่พักเล็ก ๆ เพียง 2-3 หลัง ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 40 ไร่

หลังจากนั้นวัดทับกระดานก็ได้พัฒนาเรื่อยมา มีการเปลี่ยนเจ้าอาวาสแต่ก็ได้พัฒนาไม่หยุดจนกระทั่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในทุกวันนี้

มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์ไทยที่น่าไปอย่างยิ่ง

สถานที่ท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานครที่อยู่ด้านหลังพระบรมมหาราชวัง และเป็นแหล่งเรียนรู้ของไทยแบบสมัยใหม่ที่น่าสนใจมาก ๆ อย่างหนึ่งส่วนที่มิวเซียมสยาม มีอะไรน่าสนใจบ้างตามผู้เขียนมาเที่ยวพร้อม ๆ กันครับ

ประวัติมิวเซียมสยาม

มิวเซียมสยาม หรือ พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ เปิดให้บริการมาตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2551 ดูแลโดยสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ มีจุดมุ่งหมายในการแสดงอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของชาติไทย เน้นกลุ่มชนในเขตกรุงเทพโดยเฉพาะในวัยเด็กและเยาวชน เพื่อต้องการให้ได้เรียนรู้ถึงแก่นและรากเหง้าของชาติไทย มีการจัดแสดงและนำเสนอความเป็นไทยออกมาด้วยสื่อหลากหลายรูปแบบ มีความน่าสนใจและดึงดูดเป็นอย่างมาก

มิวเซียมสยาม ท่าช้างวังหลวง

การเดินทางไปมิวเซียมสยาม

ที่อยู่มิวเซียมสยาม : 4 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
พิกัดมิวเซียมสยาม : 13.7441522,100.4919483
เวลาเปิดให้เข้าชม : 10.00 น. – 18.00 น.

แผนที่มิวเซียมสยาม

เรานั่งรถมาลงบริเวณท่าช้างวังหลวงเพื่อที่จะรับประทานอาหารอร่อย ๆ กันเสียก่อนที่จะเดินเล่นแบบทอดน่องไปเรื่อย ๆ เลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นานประมาณ 10 นาทีเราก็ไปถึงปากทางเข้าพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของเราซึ่งตัวตึกนั้นเป็นการเอาตึกเก่ามาบูรณะใหม่ให้สวยงามและเปิดบริการ

การเดินทางมาที่มิวเซียมสยามด้วยขนส่งสาธารณะ

  • รถเมล์สาย 12 ถ้าเริ่มต้นจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ให้ขึ้นรถที่ฝั่งโรงพยาบาลราชวิถี นั่งจนสุดสายแล้วก็เดินอีกนิดหน่อยมาที่มิวเซียมสยาม
  • รถเมล์สาย 47 ถ้าเริ่มต้นจากสนามกีฬาแห่งชาติ (ข้าง ๆ มาบุญครอง) นั่งมาลงที่ป้ายโรงเรียนตั้งตรงจิตรพณิชยการ (ท่าเตียน) แล้วก็เดินอีกนิดหน่อยเช่นกัน
  • เรือด่วนคลองแสนแสบ ให้ลงที่ท่าเรือผ่านฟ้า แล้วมาต่อรถเมล์ที่หน้านิทรรศน์รัตนโกสินทร์ มีสาย 12, 44 และ 47 ถ้าสาย 12 ให้ลงสุดสาย ส่วนสาย 44 และ 47 ให้ลงที่ป้ายโรงเรียนตั้งตรงจิตรพณิชยการ
  • เรือด่วนเจ้าพระยา ลงที่ท่าเรือท่าเตียน

ดูเส้นทางการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่นี่ : แผนที่มิวเซียมสยาม

พื้นที่จัดแสดงนิทรรศการต่าง ๆ ของมิวเซียมสยาม

ภายในมิวเซียมสยามจะมีการแยกพื้นที่ในการจัดแสดงความรู้และนิทรรศการต่าง ๆ ออกจากกันเป็นสัดส่วน โดยอาคารสำคัญต่าง ๆ ที่ใช้ในการจัดแสดงจะประกอบด้วย

1. อาคารของกระทรวงพาณิชย์เดิม – อาคารนี้จะเป็นอาคาร 3 ชั้น เป็นพื้นที่สำหรับจัดนิทรรศการแบบถาวร รวมทั้งมีร้านค้าจำหน่ายสินค้าที่ระลึก มีทางเข้าออกสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการเพื่อความสะดวกในการเดินทางเยี่ยมชม ปัจจุบันจัดแสดงนิทรรศการ “ถอดรหัสไทย” จำนวน 14 ห้อง โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 – ปัจจุบัน ในบางห้องก็มีการแบ่งสัดส่วนสำหรับจัดกิจกรรมหมุนเวียนอื่น ๆ

2. อาคารอเนกประสงค์ 1 – อาคารนี้เป็นอาคารโครงสร้างกระจก ตั้งอยู่ฝั่งด้านถนนเศรษฐการ อยู่หลังร้านอาหาร มี 2 ชั้น เป็นอาคารที่เน้นใช้พื้นที่สำหรับจัดนิทรรศการหมุนเวียน งานเสวนา หรือกิจกรรมเวิร์คชอปต่าง ๆ เป็นต้น

3. อาคารสำนักงาน – เป็นอาคาร 5 ชั้นซึ่งแต่เดิมนั้นจะเป็นที่ทำการของหน่วยงานราชการต่าง ๆ ตั้งแต่ที่ยังเป็นที่ตั้งของกระทรวงพาณิชย์ ในปัจจุบันได้ทำการปรับปรุงอาคารแห่งนี้เป็นสำนักงานหลักของ “สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ และ มิวเซียมสยาม” ในส่วนพื้นที่ที่ว่างก็ได้ปรับปรุงและเปิดให้บริการเป็นห้องประชุม ห้องสมุด ห้องปฏิบัติการและคลังวัตถุโบราณ รวมถึงใช้เป็นพื้นที่อบรมและจัดงานเสวนาต่าง ๆ

4. ลานสนามหญ้าบริเวณด้านหน้าอาคารกระทรวงพาณิชย์เดิม – พื้นที่ตรงนี้เป็นสนามหน้าเล็ก ๆ ติดกับถนนสนามไชย ใช้แสดงประติมากรรมทางโลหะร่วมสมัย บางครั้งก็ใช้เป็นพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมหมุนเวียนอื่น ๆ ที่มักจะดัดแปลงสนามหญ้าไปตามคอนเซ็บต์ของแต่ละกิจกรรม เช่น กิจกรรมภาพยนตร์กลางแจ้ง เป็นต้น พื้นที่บางส่วนได้ปิดปรับปรุงเพื่อใช้สร้างเป็นทางขึ้นทางสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสถานีสนามไชย โดยจะเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2562

5. ลานคนกบแดงและสนามหญ้า – เป็นลานอิฐและสนามหญ้า อยู่ด้านหลังอาคารของกระทรวงพาณิชย์เดิม อยู่ใกล้กับประตูฝั่งถนนมหาราช ใช้สำหรับจัดกิจกรรมและนิทรรศการกลางแจ้งเป็นหลัก

6. อาคารอเนกประสงค์ 2 – ปรับปรุงเอาไว้ใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ

7. นิทรรศการเคลื่นที่ – เป็นการจัดนิทรรศการโดยไปแสดงในสถานที่ต่าง ๆ มีการตกแต่งตู้คอนเทนเนอร์เพื่อให้สะดวกในการเคลื่อนย้ายไปในแต่ละสถานที่

มิวเซียมสยาม ท่าช้างวังหลวง

ความรู้สึกแรกที่เข้าไปคือให้ความรู้สึกที่สมกับเป็นพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่แต่มีกลิ่นอายความเป็นไทยอย่างเต็มเปี่ยม โดยมีร้านกาแฟน่าทานและสนามหญ้าในบริเวณของมิวเซียมสยามด้วยผู้เขียนพาครอบครัวและเด็ก ๆ เข้าไปจ่ายบัตรก่อนจะเข้าไปเที่ยวชม

มิวเซียมสยาม ท่าช้างวังหลวง

สำหรับภายในนั้นต้องบอกเลยว่าออกแบบมาแบบสมัยใหม่และมีการแสดงแสงสีเสียงในแต่ละห้องที่น่าสนใจและตระการตา ให้ความรู้สึกเหมือนไปเดินในเมืองนอกเลยนะครับ

ปล. อากาศภายในมิวเซียมสยามไม่ร้อนเพราะทุกห้องนั้นติดแอร์ทั้งหมด ถ้าถามว่ามิวเซียมสยามคืออะไรตอบได้เลยว่าคือการแสดงโดยการย่อเมืองไทยมาให้อยู่ในอาคารเดียว 

ที่มิวเซียมสยามจะแตกต่างจากที่นิทรรศรัตนโกสินทร์ที่จะเน้นเฉพาะในส่วนของกรุงเทพมหานครเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าอาคารเล็ก ๆ แบบนั้นแต่ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1-2 ชั่วโมงกันเลยทีเดียวนะครับกว่าจะเดินครบรอบหรือกล่าวง่าย ๆ ว่าเดินหมดพื้นที่นั่นเอง โดยความรู้สึกคือเหมือนได้ไปเที่ยวเมืองไทยแบบครบเลย

มิวเซียมสยาม ท่าช้างวังหลวง

สำหรับใครที่ไปเที่ยว เช่น วัดพระแก้วมาแล้วในช่วงเช้า การมาเที่ยวที่นี่ในช่วงบ่ายนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งความฟินที่คุณต้องอินไปกับบรรยากาศของเมืองกรุงอย่างแน่นอนครับ แต่ผู้เขียนมีข้อเสนอแนะสักอย่างหนึ่งคือ ใครที่จะมาที่มิวเซียมสยามอาจต้องมีความชอบด้านวัฒนธรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนะครับไม่อย่างนั้นจะรู้สึกว่าอาจจะน่าเบื่อได้

มิวเซียมสยาม ท่าช้างวังหลวง

ผมออกจากมิวเซียมสยามช่วงเวลาประมาณบ่ายสามโมงกว่าก่อนจะเดินลัดเลาะข้างวังเรื่อย ๆ มาจนถึงบริเวณสนามหลวงและเราก็เดินทางต่อไปเที่ยวที่สยามพารากอนเพื่อทานอาหารอร่อย ๆ กัน ซึ่งถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจสำหรับความบันเทิงเชิงวัฒนธรรมสำหรับครอบครัวที่คุณสามารถดูตามและนำเอาไปใช้ได้นะครับ


ปล.ท้ายสุด สำหรับใครที่จะไปมิวเซียมสยามศึกษาเวลาเปิดปิดของสถานที่ให้ดีนะครับ และถ้าคุณคิดจะมาตอนเที่ยง ๆ แล้ว สิ่งที่ต้องเตรียมมามากที่สุดเลยคือ ร่ม บอกเลยว่าร้อนมาก ๆ กว่าจะถึงที่มิวเซียมสยาม

โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อม แหลมผักเบี้ย

แอดมินได้ไปเที่ยวที่แหลมผักเบี้ยในช่วงสงกรานต์ พอดีแอดมินไม่ค่อยชอบเล่นน้ำสงกรานต์เท่าไหรเลยหาที่เที่ยวใกล้ๆ กรุงเทพ แอดมินเลือกที่จะไปที่แหลมผักเบี้ย โดยมีชื่อเต็มว่า “โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย” โดยโครงการนี้อยู่ที่ ตำบล แหลมผักเบี้ย อำเภอ บ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี

โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย

โดยโครงการนี้ได้เกิดขึ้นจาก

“…ปัญหาสำคัญ คือ เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องน้ำเสียกับขยะ ได้ศึกษามาแล้วเหมือนกัน ทำไม่ยากนัก ในทางเทคโนโลยีทำได้ แล้วในเมืองไทยเองก็ทำได้… …โครงการที่จะทำนี้ไม่ยากนัก คือว่า ก็มาเอาสิ่งที่เป็นพิษออก พวกโลหะหนักต่างๆเอาออก ซึ่งมีวิธีทำ ต่อจากนั้นก็มาฟอกใส่อากาศ บางทีก็อาจไม่ต้องใส่อากาศ แล้วก็มาเฉลี่ยใส่ในบึง หรือเอาน้ำไปใส่ในทุ่งหญ้าแล้วก็เปลี่ยนสภาพของทุ่งหญ้าเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ส่วนหนึ่งเป็นที่สำหรับปลูกพืช ปลูกต้นไม้… …แล้วก็ต้องทำการเรียกว่า การกรองน้ำ ให้ทำน้ำนั้นไม่ให้โสโครก แล้วก็ปล่อยน้ำลงมาที่เป็นที่ทำการเพาะปลูก  หรือทำทุ่งหญ้า หลังจากนั้นน้ำที่เหลือก็ลงทะเล โดยที่ไม่ทำให้น้ำนั้นเสีย…”

– กระแสพระราชดำรัส เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2533

แหลมผักเบี้ย คือ สถานที่ที่แอดมินจะมาเที่ยวกันครับนอกจากจะเป็นโครงการในพระราชดำริแล้ว สถานที่นี้ยังมีเส้นทางเพื่อศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลนที่มีทางเดินลัดไปสู่ชายทะเล ซึ่งเส้นทางเข้าป่าชายไปสู่ชายทะเลมีความสวยงามขนาดไหนลองชมภาพได้เลยครับ

โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย

ป่าชายเลนคือ สถานที่บำบัดน้ำเสียที่ดีที่สุด ก่อนที่น้ำนั้นจะไหลลงสู่ทะเลที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์ได้มีพระราชดำริขึ้นเพื่อประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง ในอดีตนั้นที่นี่พบกับปัญหาน้ำเสียถึงขนาดน้ำที่จะนำมาใช้ในการอุปโภค บริโภคไม่สามารถนำมาใช้ได้เลย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำริจัดตั้งโครงการดังกล่าวเพื่อบำบัดน้ำเสีย โดยให้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ มีด้วยกัน 4 ระบบ

  • ระบบแรก คือ บ่อบำบัดน้ำเสีย เวลาที่มีน้ำเสียไหลมาแต่ละบ่อก็จะไหลล้นผ่านอาคารระบายน้ำด้านบน และเชื่อมต่อกันทางตอนล่างของบ่อถัดไปเป็นลำดับก่อนที่จะนำคืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
  • ระบบที่สอง คือ ระบบพืชและหญ้ากรองน้ำเสีย ซึ่งให้พืชช่วยบำบัดนำเสียโดยการให้น้ำเสียไหลผ่านแปลงหญ้าและหญ้าที่ดีที่สุดก็คือหญ้าธูปฤาษีที่ช่วยปล่อยออกซิเจนจากรากลงไปเติมน้ำให้กลายเป็นน้ำดีได้ และเมื่อครบ 90 วัน ก็จะตัดพืชออก พอตัดแล้วก็นำไปให้กลุ่มแม่บ้านทำเครื่องสานเพื่อเพิ่มประโยชน์และสามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มแม่บ้านได้
  • ระบบที่สาม คือ ระบบพื้นที่ชุ่มน้ำเทียม กลไกก็จะคล้ายกับระบบพืชและหญ้ากรอง แต่จะแตกต่างกันด้วยวิธีการ
  • ระบบที่สี่ คือ ระบบแปลงพืชป่าชายเลน โดยการให้ธรรมชาติบำบัดด้วยตัวของมันเองตามระยะเวลาการขึ้นลงของน้ำทะเลในแต่ละวัน อาศัยระบบรากของพืชป่าชายเลนช่วยปล่อยก๊าซออกซิเจนเติมให้กับน้ำเสียและจุลินทรีย์ในดินและชาวบ้านจะไม่เข้ามายุ่ง เพราะเป็นพื้นที่ของงานวิจัยและเมื่อมีโครงการฯ เข้ามาชาวบ้านก็จะเริ่มอนุรักษ์โดยการไม่ปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำ หรือว่าถ้าเขาจะปล่อยก็จะใช้ผ่านถังดักไขมัน หากบ้านไหนยังไม่มี ชาวบ้านจะมารับถังดักไขมันที่โครงการฯ ได้

แอดมินได้ทำการเดินเข้าสู่ป่าชายเลน ซึ่งเดินไปตามเส้นทางเรื่อยๆ ก็พบว่าที่แหลมผักเบี้ยนี้เป็นสถานที่ สวยและเงียบสงบมากๆ ครับ เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบบรรยากาศแบบธรรมชาติสุดๆ ช่วงที่แอดมินไปอากาศไม่ร้อนมากเท่าไหร ถ้ามาช่วงหน้าฝนตกพร่ำ นั่งกินอาหารตามศาลาที่พักระหว่างทางนี้ คงฟินมาก ๆ แน่ ๆ เลยครับ

โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย

ปัจจุบันโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้จัดให้มีการให้ความรู้การฝึกอบรมผ่านกระบวนการสิ่งแวดล้อมศึกษา มุ่งเน้นการถ่ายทอดความรู้สู่กลุ่มเป้าหมาย รวมถึงเปิดให้ผู้สนใจสามารถเข้าศึกษาดูงานได้

การเดินทาง

ที่อยู่โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย : ตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม เพชรบุรี 76100
พิกัด : 13.0469659,100.0822

แผนที่แหลมผักเบี้ย

โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อยู่ห่างจากกรุงเทพประมาณ 131 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นทางที่วิ่งทางถนนพระราม 2 การเดินทางให้ใช้เส้นทางเดียวกับการเดินทางลงทางภาคใต้ของประเทศไทย

ชิล ๆ กับบรรยากาศริมน้ำที่เอเชียทีค

ถ้าใครได้ขับรถผ่านสะพานสาทร หรือ นั่งเรือด่วนเจ้าพระยาแล้วละก็ยังไงก็ต้องเห็นมาแต่ไกลครับ ก็เพราะเจ้าชิงช้าที่ เอเชียทีค นี้มันใหญ่โตมากเลยครับ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เห็นว่าความสูงนี่กว่า หกสิบเมตรก็เลยทีเดียว ถ้าคิดเทียบกับตึกนี่ก็กว่าเกือบ ยี่สิบชั้นเลยนะ