หนาวแรกของปี 2018 มาปะทะใบหน้าแล้วครับ สิ่งแรกที่นึกถึงเลยคือ “ไปเที่ยวไหนดี” รู้มั้ยครับว่าฤดูหนาวของ ประเทศไทย เนี่ยจะเป็นฤดูกาลที่นักท่องเที่ยวเดินทางกันหนาแน่นที่สุด และส่วนมากก็มักจะเดินทางขึ้นเหนือของประเทศไทยกัน เพราะบ้านเราเป็นเมืองร้อน จึงทำให้สถานที่ที่อากาศเย็นสบาย ไปจนถึงหนาวเป็นที่เทียวยอดฮิตโดยไม่ต้องสืบหาสาเหตุกันให้วุ่นวายนัก มาดูกันดีกว่าว่าพิกัดที่เที่ยวหน้าหนาวที่จะทำให้เราฟินกันได้มีที่ไหนบ้าง
1. บ้านรักไทย แม่ฮ่องสอน
“บ้านรักไทย” ตั้งอยู่ที่ตำบลหมอกจำแป่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน อยู่ห่างจากตัวเมืองจังหวัดประมาณ 40 กิโลเมตร จุดเด่นของ “บ้านรักไทย” คือ สถาปัตยกรรมตึกรามบ้านช่องของชาวบ้านที่นี่จะเป็นสไตล์จีนยูนนาน ทั้งบ้านเรือน อาหาร ที่พักสไตล์ของชาวจีน แถมที่นี่ยังมีประวัติศาสตร์มายาวนานกับประเทศไทย ทั้งยังมีไร่ชาเขียว ๆ และไร่พืชเมืองหนาวอีกหลายชนิด ให้นั่งมองสบายตาลืมเวลากันเลย อากาศที่นี่จะเย็นสบายตลอดทั้งปีไม่ต้องรอให้ถึงหน้าหนาวก็มาได้ แต่ถ้าอยากได้ที่มันหนาวเข้ากระดูกมากขึ้นก็รอให้ถึงหน้าหนาวก่อน จะได้สัมผัสบรรยากาศหนาวชื้นแบบสุดขั้วไปอีกแบบ เมื่อมาแล้วบางคนติดใจชีวิตสโลไลฟ์ของที่นี่ไม่อยากจะกลับกันหลายคนเลย
2. ทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ แม่ฮ่องสอน
จดเอาไว้เตือนความจำกันเลยนะสำหรับ “ทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ” เนี่ย เพราะเราจะสามารถเห็นทุ่งดอกบัวตองบานสะพรั่งเหลืองปกคลุมภูเขาทั้งลูกได้เฉพาะช่วงเดือน พฤศจิกายน – ธันวาคมเท่านั้น ใครที่เดินทางมาที่นี่นอกเหนือจากเวลานี้แล้ว อาจจะต้องเจอกับความผิดหวังกลับไปนะออเจ้า .. ดอยแม่อูคอ ตั้งอยู่ในอำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน กินพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 500 ไร่กันเลย นอกจากอากาศดีแล้วยังได้รูปสวย ๆ กลับมาเปลี่ยนโปรไฟล์อีกเพียบ แต่ต้องระวังหน่อยสำหรับคนที่แพ้เกศรดอกไม้นะครับ หาผ้าปิดจมูกหน่อยก็ดีบางคนแพ้มากถึงขนาดหายใจไม่ออกต้องไปพบแพทย์กันเลยก็มี
3. ปางอุ๋ง แม่ฮ่องสอน
พูดถึง “ปางอุ๋ง” เนี่ยใครไม่รู้จักต้องบอกว่าไม่ใช่นักเที่ยวอย่างแท้จริง เพราะมีชื่อเสียงมายาวนานมากแล้ว ตั้งแต่ผมเด็ก ๆ เริ่มหัดเที่ยวเป็น จนตอนนี้ก็อยู่ในวัยผู้ใหญ่เต็มตัวเที่ยวจนไม่มีเงินจะกินข้าว สถานที่แห่งนี้ก็ยังเป็นที่เที่ยวที่ได้รับความนิยมล้นหลามในทุกปี
อีกชื่อหนึ่งของ “ปางอุ๋ง” คือ “โครงการพระราชดำริปางตอง 2” ซึ่งเป็นอีกโครงการพระราชดำริของในหลวง ร.9 ตั้งอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็น สวิตเซอร์แลนด์อีกแห่งของเมืองไทย เพราะบรรยากาศที่แสนจะสดใสบริสุทธิ์ สูดอาการเข้าปอดทีรู้สึกชุ่มปอด เต็มปอดยังงัยไม่รู้บอกไม่ถูก แถมยังมีวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม หมอกจาง ๆ แทบจะทั้งวัน สถานที่เด่นของที่นี่คือ อ่างเก็บน้ำที่มักจะมีคนถ่ายรูปศาลาที่อยู่ริมอ่างเก็บน้ำ มีหมอกจาง ๆ ลงกระทบกับแสงแดดยามเช้า ที่ดูเหมือนสถานที่ในเทพนิยายสักเรื่องหนึ่ง (แต่ผมไม่เคยไปถ่ายนะ นอนไม่เคยตื่น ก็อากาศมันดีอะ) นักท่องเที่ยวสามารถเลือกพักได้ทั้งที่พักที่มีให้บริการ หรือจะมากางเต๊นท์นอน ก็ฟินกับบรรยากาศที่นี่ได้ทั้งสองแบบ แต่ทั้งนี้แล้วที่นี่ก็มีค่าธรรมเนียมในการเข้าไปนะครับ ซึ่งคนไทย ผู้ใหญ่จะราคา 20 บาท เด็ก 10 บาท และ ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 100 บาท และเด็ก 50 บาท
4. ไร่บุญรอด เชียงราย
ถ้ามีโอกาสได้มาเยือนจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของประเทศไทย ต้องไม่พลาดที่จะแวะที่ไร่บุญรอด ซึ่งกลายเป็นแลนด์มาร์คของที่นี่ไปซะแล้ว “ไร่บุญรอด” นั้นมีขนาดใหญ่ถึง 8,000 ไร่ สามารถเข้ามาชมในไร่ได้ฟรี แต่ถ้าต้องการทำกิจกรรมบางอย่างจะมีค่าใช้จ่าย เช่น นั่งรถทัวร์ชมรอบฟาร์ม เป็นต้น ในไร่บุญรอดนั้นมีทั้งสวนดอกไม้ ไร่ชา สวนสัตว์ ร้านอาหาร แถมยังมีกิจกรรมสำหรับสายผจญภัยได้ทำกันมากมาย เรียกได้ว่าในเวลา 1 วันเนี่ยไม่น่าจะเที่ยวในไร่บุญรอดได้ทั่วถึง ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถตอบโจทย์ได้ทุกวัยในครอบครัวเลยครับ กิจกรรมพิเศษในไร่บุญรอดช่วงต้นปีเค้ามีจะเทศกาลบอลลูนกลางไร่ให้ดู ซึ่งสำหรับบอลลูนก็ไม่ใช่ว่าจะหาดูง่าย ๆ ในบ้านเรา อย่างที่บอกว่าไปจังหวัดนี้แล้วต้องแวะไร่บุญรอดจริง ๆ ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนแซวป่าว ๆ ว่ายังมาไม่ถึงเชียงราย
5. ไร่ชาฉุยฟง เชียงราย
ไหน ๆ ก็มาถึงเชียงรายแล้วก็ใช่ว่าที่จังหวัดนี้จะมีดีแค่ไร่บุญรอดอย่างเดียว อีกอย่างที่ฮิตไม่แพ้กันก็คือ “ไร่ชาฉุยฟง” เมื่อมาถึงที่นี่เราจะเห็นไร่ชาขั้นบันไดสีเขียว ๆ แบบขั้นบันไดมองไปแล้วสบายตาแถมกว้างไกลสุดลูกหาลูกตาเราแล้ว ก็จะมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ให้นั่งจิบกาแฟเคล้าบรรยากาศเย็น ๆ วิวดี ๆ ได้พักกายพักใจกันอย่างเต็มที่ ใครที่ไม่ใช่คอกาแฟก็มีขนมเครื่องดื่มประเภทอื่น ๆ ให้เลือกรับประทานกันหลายชนิดเหมือนกัน ใช่ว่าเค้าจะมีดีแค่ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับใบชาซะเมื่อไหร่ละ อย่างอื่น เช่น ขนมหวาน ไอศครีม เบเกอรี่ หรือของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านก็มีเหมือนกัน คือเห็นแล้วมันทำให้อยากกินไปซะหมดทุกอย่างเลย
6. ดอยหลวงเชียงดาว เชียงใหม่
รู้มั้ยครับว่า ดอยหลวงเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ถือว่าเป็นดอยที่สูงเป็นอันดับสามของประเทศไทยเลยนะ ถ้าได้มาถึงที่นี่แล้วจะเห็นเลยว่ามีความโดดเด่นมากในเรื่องของภูมิทัศน์ที่สวยงาม วิวภูเขาดูแล้วอลังการยิ่งนัก จะมีดอกไม้รูปร่างแปลก ๆ ที่สามารถหาเจอได้ที่นี่ หลายประเภทเหมือนกัน เช่น ดอกเทียนนกแก้ว ที่เป็นดอกไม้รูปร่างเหมือนนกแก้ว และสามารถพบได้เฉพาะที่ดอยหลวงเชียวดาวแห่งเดียวเท่านั้น รีสอร์ทและที่พักที่นี่ก็มีกิจกรรมให้ทำหลายอย่างรองรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มเลย ไม่น่าแนวครอบครัวที่ต้องการมาพักผ่อนใช้เวลาร่วมกันนาน ๆ กลุ่มเพื่อนที่มาผจญภัย ก็สุดแล้วแต่ว่าจะเลือกพักที่ไหนกัน ส่วนใครที่เป็นคนตื่นเช้า ๆ ก็ต้องไม่พลาดที่จะตื่นนอนมาชมพระอาทิตย์ขึ้น คุณจะได้แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้า ท่ามกลางหมู่เมฆ และม่านหมอกเสมือนว่าเราอยู่บนสรวงสวรรค์เลยแหละ
“นี่มันสวรรค์บนดินชัด ๆ”
7. ภูลมโล เลย
เมื่อพูดถึงจังหวัดเลย ที่เที่ยวที่แรกที่แทบจะทุกคนนึกถึงคงเป็นภูกระดึงใช่มั้ยล่ะ แต่คราวนี้เราจะไม่พูดถึงภูกระดึงเพราะเรามีสถานที่อีกที่ที่น่าไปไม่แพ้กันชื่อว่า “ภูลมโล” ยิ่งช่วงเดือนธันวาคม – มกราคม ของทุกปีที่ภูลมโลจะมีดอกซากุระเมืองไทยหรือว่าดอกนางพญาเสือโคร่งที่บานเป็นสีชมพูหวาน ๆ ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาให้เราได้ชมกันจนน้ำตาลขึ้นตาเลยทีเดียว ภูลมโลนั้นกินพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ใครที่งบน้อยแต่อยากสัมผัสบรรยากาศญี่ปุ่น ก็มาที่นี่ได้เลยไม่ผิดหวังแน่นอน
8. วนอุทยานภูลังกา พะเยา
น่าน้อยใจไม่ใช่น้อยสำหรับจังหวัดพะเยา เมื่อถามหลาย ๆ คนว่าไปพะเยาจะเที่ยวไหนดี น้อยคนนักที่จะตอบได้ว่าที่จังหวัดนี้มีจุดหมายอะไรที่น่าสนใจบ้าง อาจจะดีขึ้นหน่อยที่คำว่า “กว๊านพะเยา” พอจะเป็นที่รู้จักกันบ้าง แต่อีกสถานที่หนึ่งที่ไม่อาจจะมองข้ามได้ มีความน่าสนใจไม่ใช่เล่นชื่อว่า “วนอุทยานภูลังกา” โดยชัยภูมิที่ตั้งของวนอุทยานภูลังกาจะอยู่ในเทือกเขาสันปันน้ำ โดยจุดชมวิวที่เด่นที่สุดของที่นี่ชื่อว่า “ภูเทวดา” สามารถชมทิวทัศน์ของพระอาทิตย์ได้ไม่ว่าจะเป็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกและที่นี่ก็ยังจะมีดอกไม้ป่าสวยงามอีกหลายชนิดให้เราได้ชื่นชม โดยเฉพาะช่วงปลายฝนต้นหนาวจะพบเจอได้เยอะยิ่งขึ้น
9. ปัว น่าน
ถ้าย้อนไปสัก 4-5 ปีก่อนปี 2018 ส่วนตัวผมเองยังไม่ค่อยรู้จักจังหวัดน่าน เมื่อวานว่าจะไปเที่ยวนานนั้นเค้าต้องไปไหนกัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทุกวันนี้ มีคนชวนไปเที่ยวจังหวัดน่านหลายคนมาก โดยเฉพาะ “อำเภอปัว” แรก ๆ ก็งงว่ามีอะไรเป็นพิเศษสำหรับสถานที่นี้ เมื่อได้ค้นหาข้อมูลถึงได้รู้ว่านักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ต้องการสัมผัสชีวิตสโลไลฟ์กันนั่นเอง เสน่ห์ของ “ปัว” จังหวัดน่านนอกจากมีความสงบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นักท่องเที่ยวจะพบกับความเรียบง่ายของชีวิตชาวบ้านที่นี่ ทิวทัศน์ที่ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ ทุ่งนาสีเขียวขจี ใครมาแล้วก็อยากมาอีกทำให้มีการพูดถึงกันปากต่อปาก จนในที่สุดก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของจังหวัดน่านไปโดยปริยาย อากาศก็ดี ที่พักก็ฟิน เพราะมีทั้งที่พักแบบโฮมสเตย์ที่รอให้นักท่องเที่ยวได้ไปสัมผัสบรรยากาศแบบท้องถิ่น ดื่มด่ำกับความเรียบง่าย และวิถีชีวิตชาวปัว
10. ภูหินร่องกล้า พิษณุโลก
จริง ๆ แล้วภูหินร่องกล้านั่นกินพื้นที่ครอบคลุมถึง 3 จังหวัดด้วยกัน ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเลย และจังหวัดเพชรบูรณ์ แถมไม่ต้องรอถึงหน้าหนาวก็สามารถเที่ยวได้สำหรับที่ ภูหินร่องกล้า เพราะที่นี่จะมีฝนตกอยู่เกือบตลอดทั้งปี ทำให้มีอากาศที่เย็นสบาย ออกชื้น ๆ ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป ส่วนตัวผมแล้วก็ชอบมาที่นี่ในช่วงหน้าฝนครับ สำหรับที่นี่ก็จะมีกิจกรรมแนวธรรมชาติให้เลือกท่องเที่ยวหลายอย่าง อาทิ เดินเข้าป่าชมน้ำตก และมีสถานที่ทางธรรมชาติที่ดูแล้วน่าอัศจรรย์ เช่น ลานหินแตก ซึ่งเป็นลานหินกว้าง ๆ ที่จะมีรายแตกของหินเป็นแนวยาวบ้างสั้นบ้าง หรือลานหินปุ่ม ซึ่งเป็นลานหินกว้าง ๆ เหมือนกันแต่จะมีปุ่มขึ้นมาเยอะแยะไปหมด ทำให้ได้ชื่อว่าลานหินปุ่ม เมื่อได้มาที่นี่แล้วบางอารมณ์เหมือนได้ไปสถานที่เที่ยวหลายที่ในที่เดียว เพราะถ้าไปช่วงเดือนมกราคมก็จะได้เห็นต้นเมเปิ้ลที่กำลังเปลี่ยนสีเป็นสีแดง แต่ถ้าได้มาช่วงปลายฝนต้นหนาว ก็จะยังมีดอกนางพญาเสือโคร่งสีม่วง ๆ ที่กำลังผลิบานให้ชมกันอีก
เรียบเรียงข้อมูลโดย : คนเดินทาง
ต้นฉบับบทความ : traveloka
