27.9 C
Bangkok
วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 17, 2024
หน้าแรกTravelท่องเที่ยวทั่วไทย 77 จังหวัดใจสัมพันธ์ปันให้น้อง ปี 2 อ.งาว จ.ลำปาง

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง ปี 2 อ.งาว จ.ลำปาง

ในปี 2561 (2018) นี้เป็นปีที่เริ่มกลับมาเดินทางจริงจังอีกครั้ง โดยส่วนมากแล้วจะเป็นการเดินทางโดยการขอร่วมทริปกับกลุ่มต่าง ๆ และมักจะเป็นการเดินทางแนวอาสา เพราะผมอยากเดินทางไปในสถานที่ ที่เข้าถึงได้ยากและไม่อยากให้การเดินทางแต่ละครั้งเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนที่นอน เที่ยวทั้งทีก็น่าจะมีอะไรที่มีประโยชน์ต่อสังคมบ้าง ถึงแม้จะเป็นจุดเล็กจุดน้อยก็ยังดี

สำหรับค่ายอาสา “ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง ปี 2” ในครั้งนี้เป็นทริปอาสาปิดท้ายปี 2561 ผมได้ร่วมเดินทางกับกลุ่ม “น้ำใจจิตอาสา” ซึ่งเป็นกลุ่มวัยรุ่นอายุราว ๆ 20 ปลาย ๆ ที่เป็นเพื่อนกันรวมตัวกันตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมา โดยมีอุดมการณ์ไม่แตกต่างจากกลุ่มอาสาอื่น ๆ มากนัก หลัก ๆ แล้วก็เป็นการรวมพลคนอาสาเดินทางไปยังพื้นที่ห่างไกล เพื่อบำรุงซ่อมแซม ปรับปรุงสถานที่ให้เหมาะสมแก่การใช้งานมากกว่าเดิมนั่นเอง

บันทึกการเดินทาง

วันที่ 1 : พฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม 2561

วันแรกในการเดินทางนี้เหมือนเดิมกับที่ผ่าน ๆ มา ทีมงานได้นัดเจอกันที่ปั๊ม ปตท. สนามเป้า ซึ่งผมเองก็ยังสงสัยนะว่าทำไมปั๊มนี้ถึงได้กลายเป็นแหล่งรวมพลของเหล่าอาสาไปแล้วเรียบร้อย การเดินทางรอบนี้ดีหน่อยไม่เจอผู้คนพลุกพล่านมากในวันรวมพล อาจจะเป็นเพราะว่าทีมงานอาสาเลือกเดินทางกันในคืนวันพฤหัสนั่นแหละ ส่วนตัวผมเองก็เหมือนเดิมครับ กระเป๋าเป้ใบเดิม เพิ่มเติมคือมีกระเป๋าคอนเวิร์ทสะพายข้างเอาไว้ใส่กล้องกะพวกของจุกจิกเหมือนผู้หญิงเค้ามีกัน อุปกรณ์ยังชีพในยามฉุกเฉินก็มีครบเช่นเคย ทั้งยาสำหรับโรคประจำตัว (หอบหืด ภูมแพ้) ที่ขาดไม่ได้ คือ อุปกรณ์ถ่ายภาพทั้งไม้เซลฟี่ กล้อง DSLR (ถ่ายรูปก็ไม่ได้เรื่องแต่อุปกรณ์จัดเต็ม ชนะเลิศ)

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง

ครั้งนี้เราเดินทางกันประมาณ 40 กว่าคนครับ ไปด้วยรถตู้ทั้งหมด 4 คัน เริ่มเดินทางกันเวลาประมาณ 21.00 น. ไปเรื่อย ๆ ครับ ผ่านเส้นรังสิต อยุธยา นครสวรรค์ ตาก ไปจนถึงจังหวัดลำปาง แวะปั๊มให้คนอายุกำลังจะแก่แบบผมเข้าห้องน้ำได้บ่อย ๆ

วันที่ 2 : ศุกร์ที่ 7 ธันวาคม 2561

ล้อรถตู้หมุนเข้าเขตเมืองลำปางราว ๆ หกโมงกว่า ๆ ถือว่าเร็วพอสมควรเลย ถึงนี่แล้วพวกเราก็ล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน ปลุกตัวเองให้ตื่นจากภวังค์กันสักพัก ยืดเส้นยืดสายกันให้หายเมื่อยก็เริ่มเดินทางกันต่อ

06.58 น. เรามาทานข้าวซอยกันเป็นอาหารเช้ากันที่ร้านผ่องโภชนา สำหรับผมแล้วรสชาติดีเลยแหละ ไม่ต้องปรุงอะไรเลยก็สามารถทานได้แล้ว ยกเว้นเรื่องน่องไก่ที่มีมาให้นั้นยังไม่ค่อยเปื่อยเท่าไหร่ สงสัยเป็นเพราะมาถึงเช้ากันเกินไปล่ะมั้ง แต่สำหรับคนที่ไม่ทานเผ็ดเวลาสั่งต้องแจ้งพ่อครัวแม่ครัวด้วยนะครับ เพราะน้ำข้าวซอยที่นี่ค่อนข้างออกเผ็ดเหมือนกัน

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง

7.30 น. เราทานข้าวซอยกันไม่นานครับ เมื่อพร้อมก็ขึ้นรถตู้เดินทางไหว้พระกันที่วัดพระธาตุลำปางหลวง เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งไม่ไกลจากร้านอาหารที่เราทานกันมาก ขับรถมาประมาณ 5 นาทีได้มั้ง สำหรับไฮไลท์ของที่นี่ผมว่าน่าจะเป็นเงาของพระธาตุกลับหัว ที่จะส่องลงมาผ่านรูเล็ก ๆ ของโบสถ์ที่อยู่ใกล้ ๆ พระธาตุ ส่วนตัวผมเองนั้นเคยแวะมาดูนานมากแล้ว ครั้งก่อนนู้นรู้สึกว่าสถานที่รอบ ๆ ยังไม่เจริญขนาดนี้เลย เสร็จแล้วก็เดินวนรอบพระธาตุกันสัก 3 รอบเอาฤกษ์เอาชัย หรือจะอธิษฐานขอพรกันก็ได้นะครับ แล้วแต่ใครสะดวกเลย

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง

การไหว้พระธาตุลำปางหลวงนั้น มาแต่ตัวได้เลยครับ ดอกไม้ ธูป เทียน ทางวัดมีบริการให้ หรืออยากจะทำบุญตามจุดต่าง ๆ ก็สามารถทำได้แล้วแต่จิตศรัทธา มีเท่าไหร่ทำเท่านั้น ไม่กำหนดราคา

ถัดออกไปทางซ้ายของพระธาตุจะมีประตูเล็ก ๆ ให้เดินออกไปชมพิพิธภัณฑ์เครื่องไม้ได้ แต่ในนั้นห้ามถ่ายรูปเด้อเจ๊า.. ระหว่างทางที่เดินไป ก็จะเห็นเหล่าผู้คนที่ศรัทธานำไม้มาค้ำยันต้นโพธิ์เอาไว้ ถ้าผมจำไม่ผิดนะ เค้ามีความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับอะไรสักอย่างที่ทำให้ชีวิตยั่งยืน อะไรประมาณนี้แหละครับ (จำบ่ได้จริง ๆ)

9.38 น. จบจากวัดพระธาตุลำปางหลวงแล้ว เราก็แวะเที่ยวกันที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยกันก่อน ตอนเข้าไปแรก ๆ นั้นก็หาช้างไม่เจอนะ ไม่รู้ช้างไปแอบที่ไหน แล้วก็รู้สึกว่า .. เห้ยทำไมมันแคบจังวะ! ที่ไหนได้ มันต้องนั่งรถเข้าไปด้านในของเค้าอีก กว้างขวางเลยเชียวแหละ

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง

ผมเดินเตร็ดเตร่สำรวจพื้นที่สักพักนึง ก็ตัดสินใจว่าจะเข้าไปชมการแสดงของช้างที่นี่สักหน่อย คือมาถึงที่ทั้งทีจะนั่งรถฆ่าเวลาเฉย ๆ ก็จะดูน่าเบื่อเกินไป แต่การเข้าชมการแสดงนั้นไม่ได้เข้าชมฟรีนะครับ .. มีค่าธรรมเนียมทั้งหมด 125 บาทถ้วน .. ซึ่งแบ่งเป็นค่ารถที่นำเราเข้าชม และนำออกมาเป็นเงิน 25 บาท ส่วนที่เหลืออีก 100 บาทนั้นเก็บเข้ากองทุนสำหรับพัฒนาพื้นที่ และดูแลช้างจ้า

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง

การแสดงช้างกินเวลาทั้งหมดประมาณ 40-45 นาที จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนกับช้าง เช่น การใช้ช้างลากซุง เป็นต้น นอกจากนั้นแล้วก็จะมีให้ตัวแทนของผู้เข้าชมได้เข้าไปเล่นแฮนด์บอลกับช้างด้วย ปิดท้ายสวย ๆ ด้วยการวาดรูปของช้าง ในส่วนรูปวาดที่ช้างวาดนั้นสามารถซื้อกลับไปเป็นที่ระลึกได้ในราคา 500 บาท

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง

จบการเดินทางในส่วนของการท่องเที่ยวแล้ว จุดหมายต่อไปคือเป้าหมายหลักของการเดินทางในครั้งนี้ นั่นคือโรงเรียนบ้านข่อยมิตรภาพที่ 110 อำเภองาว จังหวัดลำปาง

14.50 น. เราเดินทางมาถึงที่โรงเรียนบ้านข่อยมิตรภาพที่ 110 กันแล้ว แต่ที่นี่จะเป็นโรงเรียนหลัก ชาวบ้านจะเรียกกันว่าโรงเรียนใหญ่ เรามารวมพลกันที่นี่อีกรอบเพื่อนัดพบกับนักอาสาคนอื่น ๆ ที่เดินทางมาสมทบ และเปลี่ยนเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ เพื่อเดินทางเข้าไปในโรงเรียนเครือข่ายอีกประมาณ 30-40 นาที

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง

15.40 น. ในที่สุดก็ถึงจุดหมายแล้วววว … มาถึงแล้วก็ประทับใจเช่นเคยครับ น้อง ๆ เด็ก ๆ มานั่งรอต้อนรับ และยกมือไหว้สวัสดีพวกเราทุกคน พวกเค้ารอการมาของพวกเรา

เมื่อมาถึงกับครบทีมก็ไม่รอช้าเลยนะ ผมยังไม่ทันหาที่หลับที่นอน หรือเก็บของเสร็จเลย ทีมงานอาสาก็เริ่มแบ่งกันทำหน้าที่กันไปแล้ว ซึ่งตอนนี้เรายังแทบจะไม่รู้จักชื่อกันเลยสักคน .. หลาย ๆ คนก็น่าจะงง ๆ เหมือนผมแหละ ว่าจะทำอะไรดีแต่เหมือนทุกคนรู้หน้าที่นะ ไม่ต้องบอกให้ทำอะไร สักพักก็แยกย้ายกันไปช่วยงานกันเองตามความถนัดและสมัครใจเลย .. ผมยืนเกาหัวอยู่แป้บนึง เห็นทีมงานแม่ครัวเอาฟักออกมาให้ปอก (ตอนแรกเห็นนึกว่าให้ปอกแตงโมเอามากินกัน) งานครัวนี่ชอบเลย ก็เลยเสนอหน้าไปขอปอกฟัก ที่ตอนแรกคิดว่าเป็นแตงโมนั่นแหละ โดยมีความหวังว่าจะได้กินแตงโมฉ่ำ ๆ แต่ …. คิดผิดครับ มันเป็นเหมือนกับฟักพันปี ที่เปลือกโคดแข็ง !!! แถมมีดที่ได้มาไม่สมประกอบอีกต่างหาก ตอนนั้นอยากจะเปลี่ยนใจไปทำอย่างอื่นแทน แต่ก็ไม่ทันแล้วอ่ะสิ … รู้มั้ยทำไม ดูภาพประกอบได้เลย

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง

อาหารมื้อแรกที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันในมื้อนี้ประกอบไปด้วย ต้มฟักพันปี, ยำปลากระป๋อง และ อาหารสุดคลาสสิคอย่างไข่เจียว แต่บอกเลยนะว่าโคดอร่อย … ทานอาหารกันเสร็จก็เริ่มมืดค่ำแล้ว ผมเห็นท่าไม่ดีเลยรีบชิ่งไปอาบน้ำก่อน เพราะครั้งล่าสุดที่อาบนั้นนับย้อนไปก็เกือบ ๆ 24 ชั่วโมงแล้ว (อาบน้ำไปทำงาน แล้วตอนเย็นเดินทางต่อเลย วันถัดมาก็เที่ยวทั้งวัน)

ผมชอบอาบแบบธรรมชาติมากกว่าครับ และหลังอาคารที่ผมพักอยู่จะมีลำธารไหลผ่าน แล้วตอนนั้นก็ยังไม่มืดมากเลยเลือกที่จะอาบน้ำในลำธารแทน ตรงดิ่งไปอาบคนเดียวเลยครับ เป็นลำธารที่น้ำไหลค่อนข้างแรงและน้ำตื่นยังไม่ถึงหัวเข่า เลยอาบยากนิดนึง ขันก็ไม่มี … ก้าวแรกที่เหยียบลงไปในน้ำ อยากจะกรี๊ดออกมาให้แต๋วหลุด เพราะน้ำเย็นม๊ากกกก … เหมือนอาบน้ำแช่น้ำแข็ง แต่ด้วยใจรักที่จะอยู่กับธรรมชาติ แถมตอนนั้นก็เหลือแต่กางเกงในทรง Trunk ตัวเดียวแล้ว มีหรือจะยอมแพ้ … ล้มตัวลงไปเลยครับ เอาให้เปียกทั่วร่างตั้งแต่หัว ยันหัวแม่โป้ง … แล้วก็เกาะหินที่อยู่กลางลำธารไว้หน่อย เดี๋ยวปลิว หลังจากนั้นก็นั่งแช่ได้ไม่กี่นาทีนะครับ จากเดิมคิดว่าจะแช่ซักครึ่งชั่วโมงเพราะลำพังความหนาวนั้นผมทนได้ แถมชอบเสียด้วยซ้ำ .. แต่สิ่งที่ทนไม่ได้คือ ความมืด เสียงแห่งความเงียบ และบรรยากาศรอบตัวที่มืดจนมองอะไรไม่เห็น มันทำให้เราจินตนาการไปไกลจนเกินไป .. กลัวผี!!! รีบล้างเนื้อ ล้างตัว ล้างตูด ล้างไข่ แล้วรีบไปดีกว่า

เมื่อเสร็จภารกิจส่วนตัวกันแล้ว ก็กลับมาร่วมกิจกรรมรอบกองไฟแบบสั้น ๆ กันก่อนในคืนแรก ก็เป็นการละลายพฤติกรรมเล็ก ๆ ทำความรู้จักกัน ร้องเพลงด้วยกัน สองสามเพลง ก่อนแยกย้ายกันพักผ่อน ผู้หญิงผู้ชายแยกนอนกันคนละอาคาร มีบางส่วนเตรียมเต๊นท์มาด้วย ก็กางนอนที่สนามหญ้า ใกล้ ๆ กัน

ประมาณ 21.30 แยกย้ายกันพักผ่อนแล้ว หนึ่งวันผ่านไป .. ความทรงจำและความผูกพันเริ่มก่อเกิด … เสียดายที่ฟ้าปิดไปหน่อย ทำให้เห็นดาวไม่ชัด คุยกับน้องอาสาไว้ว่า ตอนเช้าเราจะตื่นไปวิ่งกัน .. พูดจบยังไม่ทันปิดประโยคจบ … ต่างคนต่างหลับเหมือนโดนปิดสวิตซ์

วันที่ 3 : เสาร์ที่ 8 ธันวาคม 2561

5.30 น. ตื่นมาเตรียมตัวที่จะไปวิ่ง อากาศกำลังเย็นสบาย อุณหภูมิไม่หนาวจนเกินไป 25 องศาเอง … “ได้ไปวิ่งมั้ยให้ทาย?” ไม่ได้ปั๊ยยยย … เพราะอะไรน่ะเหรอ มันมืดมากน่ะสิ ก็เลยนอนขลุกอยู่สักพัก ระหว่างนั้นนักอาสาคนอื่น ๆ บางคนก็ตื่นมายืดเส้นยืดสาย ทีมงานแม่ครัวก็มาเตรียมอาหารเช้ากันแล้ว  …

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง

ผมจำเวลาได้ไม่เป้ะ ๆ มาก แต่นักอาสาบางส่วนรวมผมด้วย ได้พากันเดินไปถ่ายรูป เก็บบรรยากาศและเก็บความทรงจำร่วมกัน ได้สักพักท่ามกลางฝนตกปรอย ๆ ให้เหงาเล่น ๆ ก่อนที่จะกลับมารวมตัวกันรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน และแยกย้ายกันรับผิดชอบหน้าที่กันต่อ

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง

งานหลัก ๆ ก็มีสามอย่างด้วยกัน ได้แก่ ปูกระเบื้อง, ทาสีห้องเรียนและอาคารเรียน, ติดฝ้าระหว่างห้องเรียน .. รอบนี้ผมเลือกทาสี เพราะงานช่างส่วนอื่นนั้นทำไม่เป็น … แต่มันก็เหมือนเป็นการเลือกผิดอีกเหมือนเดิม เพราะอะไรรู้มั้ย? เมาทินเนอร์งัย!!! ผมทาได้สักชั่วโมงกว่า ๆ สีในส่วนที่รับมาทา ก็หมดพอดีเลยถือโอกาสนี้พักปอด หนีจากกลิ่นทินเนอร์ออกมานั่งสูดโอโซนรอบ ๆ สักพัก ก็ได้เวลาทานอาหารเที่ยงด้วยกัน หลังจากทานอาหารเที่ยงยังไม่หายแฮงค์จากอาการเมาทินเนอร์ ก็เลยไปเดินขึ้นเขาเก็บภาพบรรยากาศ ของสถานที่รอบ ๆ จากมุมสูง ได้สักพักใหญ่ ๆ ก็กลับมาสูดทินเนอร์ต่อเหมือนเดิม ..

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง

เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก ไม่นานก็เย็นแล้ว งานทั้งหมดเกือบจะสมบูรณ์ ในส่วนของการทาสีและติดฝ้านั้น ผมว่า 100% แล้ว ที่เหลือคือให้รอสีแห้ง แล้วก็เก็บกวาดกันอีกครั้ง

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทางใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง

แต่ที่น่าเป็นห่วงคือทีมปูกระเบื้อง ที่ดูเหมือนว่าจะมีความล่าช้าพอสมควร แต่ทีมนี้ก็มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้เสร็จดึก ๆ ก็ไม่หวั่น ยังคงทำงานกันต่อ … ปัญหาของผมก็คือ อาคารนอนคืนแรกยังปูกระเบื้องไม่เสร็จ เต๊นท์ก็ไม่มีมา เลยต้องเนรเทศตัวเองไปนอนที่ห้องเรียน ที่เว้นเอาไว้ ไม่ได้ทำการทาสีในครั้งนี้

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง

เมื่องานเสร็จ ทานอาหารเย็นร่วมกันแล้ว แยกย้ายกันทำธุระส่วนตัวกันสักพัก ก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อร่วมกิจกรรมรอบกองไฟด้วยกัน โดยคืนนี้พิเศษกว่าคืนแรกคือเด็ก ๆ ที่นี่จะมีการแสดงให้เราดูด้วย และก็ร่วมกิจกรรมไปกับเรา

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง

กิจกรรมในคืนนี้มีความสนุกสนาน และเต็มไปด้วยรอยยิ้มมากมายจากนักอาสา เด็ก ๆ รวมถึงชาวบ้าน เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก ผมเองก็โดนแอลกอฮอล์ที่เป็นเหล้าที่ชาวบ้านหมักเองไปสองสามแก้ว ทำเอามึนจนเดินเป๋เลยทีเดียว … (ปกติผมไม่ดื่มเหล้านะครับ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองในชีวิตจริง ๆ บรรยากาศมันพาไป) กิจกรรมรอบกองไฟในครั้งนี้ จำไม่ค่อยได้ว่าทำอะไรไปบ้าง แต่คิดว่าน่าจะเป็นเวลาราว ๆ ห้าทุ่ม – เที่ยงคืน ผมก็เข้าไปนอนเพราะไม่สามารถพยุงตัวเองต่อไปได้ละ … จำได้อีกทีก็คือตื่นมาตอนตีสองกว่า ๆ … ล้วงคอ!!!! ลาก่อนอาหารเย็น

วันที่ 4 : อาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2561

7.00 น. วันสุดท้ายของการเดินทางในครั้งนี้ วันนี้ผมตื่นสายกว่าวันแรก เพราะอะไรนั่นไม่ต้องสืบ … “เมาค้าง!!” อาการแฮงค์มันเป็นแบบนี้นี่เอง เป็นวันแห่งความพะอืดพะอม อยากอ้วกตั้งแต่ลืมตาดูโลกในตอนเช้า ไปล้วงคอตัวเองเพื่อให้ออก ก็ไม่เหลืออะไรให้ออกแล้ว มีแต่น้ำเปล่า .. แต่ยังไม่ทิ้งอุดมการณ์ครับ … แค่อาการมึน ๆ มันทำอะไรผมไม่ได้

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทางใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง

วันนี้ผมกับน้องอาสาอีกสองคนพากันเดินเล่นที่หมู่บ้าน เดินชมวิถีชีวิตของชาวเขาที่นี่กัน บ้านที่นี่ค่อนข้างใหญ่โต สร้างด้วยไม้ทุกหลัง มีการเลี้ยงไก่และมีเลี้ยงหมูบ้างในบางหลัง ช่วงเวลาที่เดิน ๆ กันก็น่าจะราว ๆ 7.30 – 8.00 น. จะได้ยินเสียงทุกบ้านกำลังทำอาหารกัน อยากเดินเข้าไปดู ก็ไม่กล้า เขิน ๆ กลัว ๆ ..

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง

เดินไม่นานกลับลงมาก็รับประทานอาหารเช้า แล้วก็รวมกลุ่มกันมอบของใช้ที่จำเป็นเอาไว้ให้ครูประจำที่นี่ไว้ใช้ แล้วก็ร่วมกันถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ก่อนจะเดินทางกลับ

9.00 น. เริ่มเดินทางกลับ สำหรับวันนี้นั้นผมจะไม่ค่อยได้บันทึกรายละเอียดอะไรเอาไว้มาก เพราะมีอาการมึนตั้งแต่เริ่มเดินทางกลับ จนถึงกทม. เลยทีเดียว ซึ่งกินเวลาหลายชั่วโมงมาก

เราแวะรับประทานอาหารเที่ยงกันตอนสาย ๆ แล้วที่ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาต้นน้ำจังหวัดพิษณุโลก ในเรื่องของรสชาตินั้นผมว่าไม่ได้แปลกหรือแตกต่างอะไรมาก จุดขายของที่นี่คือระเบียงที่ให้นั่งทานก๋วยเตี๋ยว เมื่อได้นั่งแล้วขาจะห้อยลงมาข้างล่าง จึงเป็นที่มาของคำว่าก๋วยเตี๋ยวห้อยขา .. แต่ผมไม่ได้ไปห้อยขาด้วยนะ เพราะที่นั่งเต็มเลยได้มานั่งโต๊ะธรรมดา ๆ แทน

ก่อนปิดทริปและเดินทางกลับ ก็ได้แวะไหว้พระอีกครั้ง ที่พระพุทธชินราชสำหรับที่นี่นั่น นักอาสาคนหนึ่งที่เคยอาศัยที่นี่บอกว่า ให้หาดอกเข็มสีแดงที่มีกลีบทั้งหมด 6 กลีบเพื่อขอพรจากพระพุทธชินราชแล้วจะสมปรารถนา … ทำไมต้อง 6 กลีบ?? .. เพราะส่วนมากจะมี 4 กลีบงัย 6 กลีบหายาก แต่พวกเราก็ไม่ค่อยตั้งใจหากันหรอก … ไม่เชื่อดูรูป

ใจสัมพันธ์ปันให้น้อง น้ำใจจิตอาสา คนเดินทาง


จบทริปครั้งนี้ รถตู้กลับมาส่งยังจุดนัดหมายเวลาประมาณเดียวกับตอนออกไปเลย นั่นหมายความว่าทริปนี้ผมใช้เวลาไปทั้งหมด 3 วัน 3 คืน แล้วก็เหมือนกับการเดินทางอาสาทุกครั้งที่ผมจะพกความทรงจำ รอยยิ้ม และความผูกพันกลับมาเต็มเปี่ยมเสมอ รอบนี้นักอาสาที่ร่วมเดินทางด้วยกันทั้งหมด 40 กว่าคน แน่นอนครับ … ผมจำชื่อได้ไม่หมด แต่ผมจำหน้าได้หมดทุกคน แต่ละคนต่างก็เดินทางมาจากคนละทิศคนละทาง หลายคนเดินทางมาจากทางใต้ ขึ้นเครื่องมากรุงเทพก่อน เพื่อจะรวมตัวกันเดินทางไปด้วยกัน บางคนก็ติดภารกิจก่อนการเดินทางแต่ก็ขับรถไปเจอกันที่ปลายทาง … หลากหลายสาขาอาชีพ ต่างเพศ ต่างวัย .. แต่มีอุดมการณ์และจุดมุ่งหมายที่เหมือนกัน คือทำความดีร่วมกัน จุดเล็ก ๆ เหล่านี้แหละ มันก่อให้เกิดความรักและความผูกพันกันได้อย่างรวดเร็ว … นักอาสาท่านใดที่ได้ร่วมทริปในครั้งนี้และได้มาอ่านบทความนี้ ผมอยากจะบอกว่า … ผมยินดีเป็นอย่างมากที่ได้รู้จักทุกคน และหวังว่าจะเจอกันเรื่อย ๆ ในทริปอาสาครั้งต่อ ๆ ไปครับ

บักหำ … (คนเดินทาง)


ข้อควรรู้

  • โรงเรียนบ้านข่อยมิตรภาพที่ 110 มีเครือข่ายทั้งหมด 3 สาขา มีครูมานพ สิทธิกูลนะ เป็นครูใหญ่ดูแลทั้งสามที่
  • สาขาที่เราไปพัฒนา คือ สาขาบ้านแม่งาว ตำบลบ้านร้อง อำเภองาว จังหวัดลำปาง .. มีครูประจำอยู่สองคน เป็นครูจ้างที่เกษียณแล้วมาสอนให้ และครูประจำอีกท่านชื่อครูสโรชา (ข้อมูล ณ วันที่เขียน 10 ธ.ค. 2561)
  • การเดินทางไปที่โรงเรียนบ้านข่อยมิตรภาพที่ 110 ถ้าเป็นโรงเรียนใหญ่ไม่ลำบาก สามารถขับรถไปถึง อยู่ติดถนนใหญ่ เส้นทางมีคดเคี้ยวบางช่วง แต่ไม่ถึงกับหฤโหดมาก
  • ถ้าต้องการไปยังสาขาที่เราไป ควรเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ เพราะเส้นทางจะเป็นลูกรัง มีปูพื้นด้วยคอนกรีตบ้างเป็นระยะ แต่ถ้าเป็นฤดูฝนรถเก๋งหมดสิทธิ์แน่นอน
  • สัญญาณโทรศัพท์มีของทรูมูฟเอช เข้าถึงสัญญาณเต็มพิกัด ส่วนค่ายอื่น ๆ จอดสนิท
  • ชาวเขาที่นี่เป็นชนเผ่ากะเหรี่ยง หรือ ปกาเกอะญอ อาชีพหลักคือเกษตรกรรม ปลูกข้าวโพด ถั่วดำ ถั่วฝักยาว เลี้ยงวัว
  • สามารถติดต่อเพื่อบริจาคข้าวของ เครื่องใช้ ในชีวิตประจำวันต่าง ๆ ได้ทุกประเภท เช่น ยารักษาโรค, ข้าวสาร, อาหารแห้ง, เสื้อผ้า, รองเท้า, ผ้าห่ม, เครื่องครัว เป็นต้น ส่วนของอาหารเน้นเป็นอาหารแห้งจะดีกว่า ที่เก็บรักษาได้นาน

บทความ ข่าวสาร มาใหม่

ททท. ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวลาวบนรถไฟทดลองเต็มรูปแบบจากเวียงจันทน์สู่กรุงเทพฯ

กรุงเทพฯ 14 กรกฎาคม 2567 – การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ การรถไฟแห่งประเทศไทย...

พรีวิว: โคปา อเมริกา 2024 จัดที่สหรัฐอเมริกา

โคปา อเมริกา 2024 เป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับทวีปอเมริกาใต้ครั้งที่ 48 แต่จะจัดขึ้นที่สหรัฐ...

ตลาดนัดแม่สาย: การค้าชายแดนไทย-พม่า

ตลาดนัดแม่สายตั้งอยู่ในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญระหว่างประเทศไ...

วิธีการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

ความสำคัญของการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ การเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมีความสำคัญอย่า...

ประโยชน์ของการออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายเป็นประจำมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มสมรรถภาพทางกายอย่างมีประสิทธิภาพ การออกกำลังก...