เมื่อพูดถึงอนาคต คนส่วนใหญ่มักมองว่าเป็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้า เป็นสิ่งที่เรากำลังก้าวไปหา แต่สำหรับบางคนในบางวัฒนธรรมแล้ว อนาคตอาจอยู่ข้างหลังหรือแม้แต่ด้านบนเหนือศีรษะ
ความแตกต่างในแนวคิดเรื่องทิศทางของเวลานี้ ขึ้นอยู่กับภาษาที่ใช้และวัฒนธรรมที่แต่ละคนเติบโตขึ้นมา
แนวคิดเรื่องเวลาในวัฒนธรรมตะวันตก
ในวัฒนธรรมตะวันตกเช่นในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และยุโรป ผู้คนมักมองว่าเวลาเป็นเส้นตรง (linear) โดยอนาคตอยู่เบื้องหน้าและอดีตอยู่ข้างหลัง เรากำลังเดินทางมุ่งหน้าไปสู่อนาคตอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่อาจย้อนคืนหรือหวนกลับไปหาอดีตได้
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นในการใช้ภาษาและวัฒนธรรมของชาวตะวันตก เช่น การใช้คำศัพท์และข้อความที่แสดงตำแหน่งด้านหน้าของตัวเองอยู่เสมอ เช่น “วันข้างหน้า” “มองไปข้างหน้า” และ “เหลียวหลังแลหน้า”
แนวคิดเรื่องเวลาในวัฒนธรรมอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม บางวัฒนธรรมมีแนวคิดเรื่องเวลาที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เช่น
- ชนเผ่าอัยมารา (Aymara) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองอเมริกาใต้ที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาแอนดีส พวกเขามองว่าอนาคตนั้นอยู่ข้างหลังและอดีตต่างหากที่กำลังเผชิญหน้ากับตนเองอยู่
- ผู้ที่พูดภาษาดาร์จี (Darji) ซึ่งเป็นภาษาถิ่นแขนงหนึ่งของภาษาอาหรับ (อารบิก) ที่พูดกันในบางพื้นที่ของโมร็อกโก ต่างก็มองว่าอดีตอยู่ข้างหน้าและอนาคตอยู่ข้างหลังเช่นกัน
- ผู้ใช้ภาษาเวียดนามนั้น นอกจากจะมองว่าอนาคตอยู่ด้านหลังของตนเองแล้ว ยังมองว่ามันมีการเคลื่อนที่ด้วย โดยเวลาในอนาคตจะค่อย ๆ เดินเข้ามาหาตนจากด้านหลัง
- กลุ่มผู้ใช้ภาษาจีนกลาง (แมนดาริน) ซึ่งมีแนวคิดเกี่ยวกับเวลาเป็นเส้นแนวตั้ง โดยพวกเขามองว่าอดีตนั้นอยู่เบื้องบนเหนือศีรษะหรือบนฟ้า ในขณะที่อนาคตนั้นอยู่เบื้องล่างหรือใต้พื้นดิน
สาเหตุของความแตกต่างในแนวคิดเรื่องเวลา
นักวิทยาศาสตร์และนักมานุษยวิทยายังไม่ทราบแน่ชัดว่า เหตุใดผู้คนจากต่างภาษาและวัฒนธรรมจึงมีแนวคิดเรื่องเส้นเวลาที่แตกต่างกัน สมมติฐานหนึ่งเสนอว่า สิ่งนี้ถูกกำหนดด้วยทิศทางในการอ่านและเขียนหนังสือของแต่ละภาษา ผู้ที่อ่านและเขียนตัวอักษรในแนวนอนจากซ้ายไปขวา มีแนวโน้มจะมองว่าอดีตอยู่ทางด้านซ้ายและอนาคตอยู่ด้านขวา ส่วนผู้ที่เขียนหนังสือกลับทิศกันจากขวาไปซ้าย เช่นผู้ใช้ภาษาอาหรับ (อารบิก) จะมองว่าอดีตนั้นอยู่ขวามือส่วนอนาคตนั้นอยู่ซ้ายมือ แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่ไม่เป็นไปตามหลักการนี้
อีกแนวคิดหนึ่งเสนอว่า การมองเส้นเวลาของแต่ละคนได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมที่ถูกปลูกฝังมาแต่วัยเยาว์ ซึ่งบางวัฒนธรรมเน้นให้ค่ากับขนบธรรมเนียมในอดีต แต่บางวัฒนธรรมก็มุ่งเน้นให้ค่ากับการไปสู่อนาคตมากกว่า
ผลกระทบของความแตกต่างในแนวคิดเรื่องเวลา
ความแตกต่างทางวัฒนธรรมในเรื่องของเส้นเวลานี้ อาจให้คำตอบได้ว่า เหตุใดความริเริ่มในการแก้ไขปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในระดับโลก ซึ่งโดยมากมาจากแนวคิดภายใต้การนำของชาวตะวันตก จึงไม่ประสบความสำเร็จในหลายภูมิภาคที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกัน
เพราะวาทกรรมการพัฒนาที่เน้นการก้าวไปข้างหน้าและทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง อาจไม่ได้รับการตอบสนองที่ดีนัก จากบรรดาผู้คนที่อดีตมีความสำคัญกับพวกเขามากกว่า
บางทีหากเราปรับเปลี่ยนวาทกรรมการพัฒนา โดยหันมาให้ความสำคัญกับองค์ประกอบที่เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณี และความเป็นมาในอดีตให้มากขึ้น ผสมผสานการก้าวไปข้างหน้าด้วยการย้อนมองเหลียวหลัง หันไปแลดูอดีตเป็นครั้งคราวอย่างสม่ำเสมอ อาจเป็นวิธีการที่ช่วยสร้างอนาคตอันสดใสและเป็นธรรมให้กับทุกคนได้สำเร็จ
ข้อสรุป
แนวคิดเรื่องทิศทางของเวลานั้น ไม่ได้เป็นความจริงสากล แต่ขึ้นอยู่กับภาษาที่ใช้และวัฒนธรรมที่แต่ละคนเติบโตขึ้นมา
ความแตกต่างในแนวคิดนี้อาจส่งผลต่อมุมมองและวิธีการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของเราได้ ดังนั้นเราควรเปิดใจรับฟังและเรียนรู้มุมมองที่แตกต่าง เพื่อที่จะสามารถสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับทุกคนได้