ซึ่งการเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ก็ไม่ยากเลยคะขับไปตามทางหลวงหมายเลข 107(เชียงใหม่-ฝาง) มองซ้ายไว้คะประมาณหลักกิโลเมตรที่67-68 จะมีป้ายบอกไปทางหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมานระยะทางประมาณ 21 กิโลเมตร แต่การเดินทางไปสันป่าเกี๊ยะนั่น ค่อนข้างที่จะลำบาก รถยนต์ที่ใช้ควรเป็น รถโฟร์วิลคะ แต่เราเปรี้ยวคะ แว๊นมอไซค์กันไป แต่มอไซค์ที่จะขึ้นไปได้ควรเป็นเกียร์ธรรมดานะคะ เพราะถนนบางช่วงในการขึ้นไปสันป่าเกี๊ยะนั้น ค่อนข้างชันและเป็นทางลูกรังค่ะ
พอถึงครึ่งทางธรรมชาติก็ทำให้เราตื่นเต้น เพราะสองข้างทางมีต้นพญาเสือโคร่งที่แข่งกันบาน พลอยทำให้เราหายเมื่อตูดกันสักนิดคะ ระหว่างทางก็จะเห็นหมู่บ้านเล็กๆคะ ก็น่ารักดีได้เห็นวิถีชีวิตที่อยู่กันอย่างเรียบง่าย พอใกล้ๆถึงหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมาน เราจะได้เห็นธารน้ำซึ่งสวยงามมากๆ เราไม่รู้เลยคะว่าเราข้ามเขากันกี่ลูก เพราะเป็นเขาลูกเล็กลูกน้อยสลับกันไป อ้อ เกือบลืมไปคะ บนนั้นมีชาวบ้านซึ่งเขาก็แว๊นมอไซค์กันค่อนข้างเร็วค่ะ ระวังด้วยนะคะ บิดกันไปๆเรื่อยๆเราก็ถึง
ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมที่สูง สันป่าเกี๊ยะ ซึ่งอยู่ในความดูแลของ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่คะ ซึ่งตรงนี้ห่างจากหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมานประมาณ 300 เมตรคะ ถ้าถึงหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมานแล้ว ไม่มีเจ้าหน้าที่ไม่ต้องตกใจนะคะเพราะว่าที่นี่มีเจ้าหน้าที่น้อย มีแค่ 2-3คนเองคะ เจ้าหน้าที่ที่หน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมานจะแนะนำเราให้ไปกางเต็นท์ที่สันป่าเกี๊ยะคะ เพราะวิวสวยกว่า
พอเราขับรถมาถึง ก็สวยอย่างที่เขาบอกจริงๆคะ มองเห็นวิวฝั่งดอยหลวงเชียงดาวด้วย เราออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 10 โมงคะ ถึงที่สันป่าเกี๊ยะประมาณ บ่ายสาม พักมาเรื่อยๆขับมาเรื่อยๆคะ ไม่รีบร้อน พอถึงเห็นวิวแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง บนสันป่าเกี๊ยะไม่มีไฟฟ้านะคะแต่มีเครื่องปั่นไฟซึ่งเขาจะปั่นไฟตั้งแต่ 6โมงเย็น ถึง 4 ทุ่มคะข้างบนมีบ้านพัก เป็นหลังคะ หลังละ 1000 บาท แต่ถ้ากางเต็นท์ก็คนละ 50 บาทคะซึ่งเราก็เลือกกางเต็นท์คะ ข้างบนไม่มีร้านอาหาร ต้องเตรียมไปเอง แต่ถ้าอยากให้เจ้าหน้าที่เตรียมให้ หัวละประมาณ 350 บาทคะ ได้กับข้าว2 มื้อ ทั้งบ้านและอาหาร ต้องโทรติดต่อที่คณะเกษตรก่อนนะคะ ส่วนเต็นท์กางได้เลยค่า
ความโชคดีของเราในทริปนี้คือ กับข้าวมื้อเย็น ซึ่งมีอาจารย์ที่เค้าขึ้นมาพักผ่อน เป็นอาจารย์ที่เคยดูแลสันป่าเกี๊ยะแต่เกษียณไปแล้ว แบ่งอาหารมื้อเย็นมาให้เราคะ ซึ่งก็เป็นลาภปากของเราเลย ฮ่าๆ มีอาหารพื้นเมืองด้วยคะ แกงขนุน อร่อยเหาะเลย
การขึ้นมาบนนี้เป็นการได้สัมผัสวิถีชีวิต และธรรมชาติที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่ซึ่งถือว่าคุ้มมากค่ะในการเมื่อยตูดขึ้นมา ฮ่าๆ
พอเริ่มมืด ดาวเริ่มมา บนนี้สามารถมองเห็นตัวเมืองอำเภอเชียงดาวได้ด้วยนะคะ หน้าเต็นท์จะเห็นแสงไฟระยิบระยับ แข่งกับแสงดาวเลย เรานั่งคุยกันสักพัก ก็ต้องเข้าเต็นท์คะเพราะมันหนาวมากก ลมเริ่มแรงน้ำค้างเริ่มลง บรึ๊ย ย ย
พอรุ่งเช้า ก็จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้น แล้วก็เห็นเมฆที่ฝั่งดอยหลวงเชียงดาวค่ะ ธรรมชาติสร้างสรรค์ความสวยงามได้อย่างลงตัวมากๆเลยคะ กดชัตเตอร์กันรัวๆค่ะ
สำหรับความงดงามของสันป่าเกี๊ยะขอจบลงเพียงเท่านี้นะคะ เที่ยวเมืองไทยไม่ไปไม่รู้ค่า ไปแล้วค่าขับรถลงดอยเมื่อยตูดต่อ แอร๊ย ย ย 🙂