สรรพสิ่งในจักรวาลสร้างจากสิ่งที่เรียกว่า อนุภาคมูลฐาน (Fundamental Particles) ซึ่งเป็นอนุภาคที่เล็กที่สุดและไม่สามารถแบ่งแยกได้อีก อนุภาคมูลฐานมี 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่
- อนุภาคมูลฐานแบบประจุ (Charged Particles) เป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า เช่น โปรตอน อิเล็กตรอน และนิวตรอน
- อนุภาคมูลฐานแบบไม่มีประจุ (Uncharged Particles) เป็นอนุภาคที่ไม่มีประจุไฟฟ้า เช่น แสง (โฟตอน) และอนุภาคกูลส์ (Gluon)
อนุภาคมูลฐานเหล่านี้จะรวมตัวกันเกิดเป็นอนุภาคที่มีมวล เช่น อะตอม โมเลกุล และวัตถุอื่นๆ ในจักรวาล
- อะตอม (Atom) เป็นหน่วยพื้นฐานของสสาร อะตอมประกอบด้วยนิวเคลียสที่ประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอน และอิเล็กตรอนที่โคจรรอบนิวเคลียส
- โมเลกุล (Molecule) เป็นกลุ่มของอะตอมที่ถูกยึดเหนี่ยวเข้าด้วยกันด้วยแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอม โมเลกุลมีขนาดเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
วัตถุอื่นๆ ในจักรวาล เช่น ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ กาแล็กซี รังสีต่างๆ ล้วนประกอบด้วยอนุภาคมูลฐานและอนุภาคที่มีมวล
- ทฤษฎีบิกแบง (Big Bang Theory) เป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงต้นกำเนิดของจักรวาล โดยเชื่อว่าจักรวาลมีกำเนิดมาจากจุดเล็กๆ ร้อนและหนาแน่นมาก เมื่อประมาณ 13.8 พันล้านปีก่อน จุดเล็กๆ นี้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ ทำให้เกิดการขยายตัวของจักรวาล
ในช่วงแรกเริ่มของจักรวาล จักรวาลมีขนาดเล็กและร้อนมาก อุณหภูมิของจักรวาลอยู่ที่ประมาณ 10^32 องศาเซลเซียส ในช่วงนี้ จักรวาลประกอบด้วยอนุภาคมูลฐาน เช่น โปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน และโฟตอน
เมื่อเวลาผ่านไป จักรวาลเกิดการขยายตัวและเย็นลง อุณหภูมิของจักรวาลลดลงเหลือประมาณ 10^10 องศาเซลเซียส ในช่วงนี้ โปรตอนและนิวตรอนรวมตัวกันกลายเป็นอะตอมไฮโดรเจนและฮีเลียม
เมื่อจักรวาลเย็นตัวลงจนเหลือประมาณ 3,000 องศาเซลเซียส แก๊สและฝุ่นในอวกาศเริ่มรวมตัวกันกลายเป็นกลุ่มเมฆก๊าซและฝุ่น เมื่อกลุ่มเมฆก๊าซและฝุ่นมีมวลมากพอ แรงโน้มถ่วงจะดึงดูดให้กลุ่มเมฆก๊าซและฝุ่นเกิดการหมุนวนอย่างรวดเร็ว แก๊สและฝุ่นที่หมุนวนจะเกิดการบีบอัดและร้อนขึ้น จนเกิดการรวมตัวกันกลายเป็นดาวฤกษ์
ดาวฤกษ์ที่ก่อตัวขึ้นใหม่จะแผ่รังสีออกมา รังสีเหล่านี้จะกดดันแก๊สและฝุ่นที่อยู่รอบๆ ดาวฤกษ์ ทำให้แก๊สและฝุ่นเหล่านี้เกิดการรวมตัวกันกลายเป็นกลุ่มเมฆก๊าซและฝุ่นขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อกลุ่มเมฆก๊าซและฝุ่นมีมวลมากพอ แรงโน้มถ่วงจะดึงดูดให้กลุ่มเมฆก๊าซและฝุ่นเกิดการหมุนวนอย่างรวดเร็ว แก๊สและฝุ่นที่หมุนวนจะเกิดการบีบอัดและร้อนขึ้น จนเกิดการรวมตัวกันกลายเป็นกาแล็กซี
ในปัจจุบัน จักรวาลยังคงขยายตัวอยู่อย่างต่อเนื่อง อัตราการขยายตัวของจักรวาลขึ้นอยู่กับพลังงานมืด (Dark Energy) ซึ่งเป็นพลังงานปริศนาที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจ พลังงานมืดเป็นตัวผลักดันให้จักรวาลขยายตัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ในอนาคตของจักรวาลขึ้นอยู่กับอัตราการขยายตัวของจักรวาล หากอัตราการขยายตัวของจักรวาลเร็วกว่าความเร็วแสง จักรวาลจะขยายตัวไปเรื่อยๆ จนทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจะห่างไกลออกไปจนมองไม่เห็นกัน หากอัตราการขยายตัวของจักรวาลช้ากว่าความเร็วแสง จักรวาลจะหยุดขยายตัวและเริ่มหดตัวลงจนยุบตัวลงอีกครั้ง
นักวิทยาศาสตร์ยังคงศึกษาจักรวาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อค้นหาคำตอบเกี่ยวกับประวัติ การเปลี่ยนแปลง และอนาคตของจักรวาล