วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายหลายระบบ มีส่วนช่วยในการมองเห็น เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย และช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์
แหล่งที่มาของวิตามินเอ
วิตามินเอสามารถพบได้ในอาหารหลายชนิด ทั้งจากพืชและสัตว์ แหล่งอาหารจากพืชที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ได้แก่ แครอท ผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักคะน้า ผักโขม ฟักทอง ฟักทองเหลือง ผลไม้สีเหลือง เช่น มะละกอ แอปเปิ้ล มะม่วง แหล่งอาหารจากสัตว์ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ได้แก่ ตับ ไข่แดง ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า เป็นต้น
ปริมาณวิตามินเอที่ควรได้รับ
ปริมาณวิตามินเอที่ควรได้รับในแต่ละวันแตกต่างกันไปตามช่วงอายุและเพศ ดังนี้
อายุ | ปริมาณวิตามินเอ (ไมโครกรัม) |
---|---|
ทารกแรกเกิด-6 เดือน | 400 |
7-12 เดือน | 600 |
1-3 ปี | 300 |
4-8 ปี | 400 |
9-13 ปี | 600 |
14-18 ปี (ชาย) | 900 |
14-18 ปี (หญิง) | 700 |
19-70 ปี (ชาย) | 900 |
19-70 ปี (หญิง) | 700 |
มากกว่า 70 ปี (ชาย) | 1,300 |
มากกว่า 70 ปี (หญิง) | 1,200 |
ประโยชน์ของวิตามินเอ
- การมองเห็น วิตามินเอเป็นสารตั้งต้นของโรดอปซิน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้มองเห็นในที่มืด หากขาดวิตามินเออาจทำให้ตาบอดกลางคืน
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามินเอช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น
- ปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย วิตามินเอช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น
- ช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ วิตามินเอช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ให้เป็นไปตามปกติ มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
ภาวะขาดวิตามินเอ
ภาวะขาดวิตามินเออาจทำให้เกิดอาการต่างๆ ดังนี้
- ตาบอดกลางคืน
- ผิวหนังแห้ง ลอกเป็นขุย
- เล็บเปราะหักง่าย
- เสียงแหบ
- ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- การติดเชื้อง่าย
- โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
- โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
- โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
ภาวะได้รับวิตามินเอมากเกินไป
ภาวะได้รับวิตามินเอมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ ดังนี้
- ปวดศีรษะ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- อ่อนเพลีย
- ปวดกล้ามเนื้อ
- ปวดข้อ
- ผมร่วง
- ผิวหนังแห้ง
- กระดูกอ่อนแอ
- ภาวะตับอักเสบ
ดังนั้น จึงควรรับประทานอาหารที่หลากหลาย เพื่อให้ได้รับวิตามินเอในปริมาณที่เหมาะสม