ยาแก้แพ้ (Antihistamine) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการออกฤทธิ์ของสารฮิสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายหลั่งออกมาเมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ยาแก้แพ้จึงช่วยลดอาการแพ้ต่างๆ เช่น จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล ผื่นคัน ลมพิษ เป็นต้น
ชนิดของยาแก้แพ้
ยาแก้แพ้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
- ยาแก้แพ้รุ่นแรก (First-generation antihistamines) เป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็ว แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ง่วงซึม ปากแห้ง คลื่นไส้อาเจียน
- ยาแก้แพ้รุ่นที่สอง (Second-generation antihistamines) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ช้ากว่ายาแก้แพ้รุ่นแรก แต่มีฤทธิ์ยาวนานกว่า และมักไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงเช่นเดิม
ข้อบ่งใช้ของยาแก้แพ้
ยาแก้แพ้ใช้รักษาอาการแพ้ต่างๆ เช่น
- โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) มีอาการจาม คัดจมูก น้ำมูกไหล
- โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) มีอาการผื่นคัน
- โรคลมพิษ (Urticaria) มีอาการผื่นคัน บวมแดง
- โรคตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic conjunctivitis) มีอาการคันตา น้ำตาไหล
วิธีใช้ยาแก้แพ้
ยาแก้แพ้ควรรับประทานตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร โดยทั่วไป ยาแก้แพ้รุ่นแรกควรรับประทานก่อนสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ประมาณ 30 นาที ส่วนยาแก้แพ้รุ่นที่สองไม่จำเป็นต้องรับประทานก่อนสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้
ผลข้างเคียงของยาแก้แพ้
ยาแก้แพ้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น
- ง่วงซึม
- ปากแห้ง
- คลื่นไส้อาเจียน
- ปวดศีรษะ
- มึนงง
- หัวใจเต้นเร็ว
- ความดันโลหิตต่ำ
ข้อควรระวังการใช้ยาแก้แพ้
ยาแก้แพ้ควรใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น
- ผู้ป่วยโรคหัวใจ
- ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- ผู้ป่วยโรคต้อหิน
- ผู้ป่วยโรคต่อมไทรอยด์
- ผู้ป่วยโรคตับ
- ผู้ป่วยโรคไต
- หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาแก้แพ้
หากมีอาการแพ้รุนแรง เช่น หายใจลำบาก หน้าบวม คอบวม ควรรีบไปพบแพทย์ทันที