ภูหลวง หมายถึง ภูเขาของพระเจ้าแผ่นดิน มีลักษณะเป็นภูเขามียอดตัดเรียบ มีขนาดกว้างใหญ่กว่า ภูกระดึง ซึ่ง ภูหลวง ได้รับฉายาว่าเป็น “อาณาจักรแห่งพรรณไม้” เพราะผืนป่าที่เต็มไปด้วยดอกไม้ป่ามากมายหลายร้อยชนิด และมีพันธุ์กล้วยไม้หายาก มากกว่า 170 ชนิด ไม่ว่าจะเป็น เอื้องสุริยัน รองเท้านารีสุขะกุล สิงโตธานีนิวัต สิงโตนิพนธ์ ฯลฯ และยังมีสัตว์ป่านานาชนิด ทั้ง เก้ง กวาง หมี ค่าง เต่าปูลู เลียงผา เสือดาว และช้างกว่า 80-100 เชือก ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่ามากที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย
ที่พักจังหวัดเลย : https://www.agoda.com/partners/partnersearch.aspx?cid=1425703&hl=en&city=17036&pcs=5
เปราะภู เป็นพืชตระกูลขิง ข่า มีเหง้าอยู่ใต้ดินคล้ายกับดอกกระเจียว พอฝนตกเหง้าก็จะแตกตัวโผล่พ้นพื้นดินขึ้นมา และพร้อมใจกันผลิดอกเล็ก ๆ อันบอบบางออกมาอวดสายตา ซึ่งมนต์ขลังของฤดูฝนบน ภูหลวง คือ สายหมอกฉ่ำเย็น ที่นับว่าเป็นเวลาของเหล่าดอกเปราะภู สีชมพู ซึ่งจะพากันบานสะพรั่งทั้งผืนป่า ช่วงต้นฤดูฝนราวเดือนมิถุนายน คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของดอก ไม้ต้นฤดูฝน ซึ่งพากันผลิดอก สวยงามขึ้นอยู่ตามลานหิน อย่างโคกนกกระบา และ ลานสุริยัน โดยเฉพาะในป่าสนบริเวณที่เรียกว่า “แปกดำ” ที่จะทำให้เราได้เห็นดอกเปราะภูสีชมพู สวยสดกำลังพากันออกดอกสะพรั่งทั้งผืนป่า โดยระหว่างทางจะมีดอกเปราะภูทยอยให้เห็นกันประปรายตามพื้นดิน 2 ข้างทาง
เปราะภูถือเป็นสัญลักษณ์แห่งดอกไม้หน้าฝนบน ภูหลวง ซึ่งที่นี่พบเปราะภู 3 ชนิดคือ เปราะภูสีชมพู (พบมากที่สุด) เห็นได้ทั่วไปในทางเดิน ส่วนเปราะภูสีขาวและสีเหลืองสด ซึ่งจะขึ้นหลังจากที่ดอกเปราะภูสีชมพูโรยรา ซึ่งการชมดอกเปราะภูนี้จะมีเวลาสวยที่สุดเพียงแค่เดือนเดียว พลาดปีนี้จะต้องรอปีหน้าถึงจะมีใหม่โอกาสอีกครั้ง
เดือนที่ควรไปท่องเที่ยว
มนต์ขลังของฤดูฝนบน ภูหลวง คือ สายหมอกฉ่ำเย็น ที่นับว่าเป็นเวลาของเหล่าดอกเปราะภู สีชมพู ซึ่งจะพากันบานสะพรั่งทั้งผืนป่า ช่วงต้นฤดูฝนราว เดือนมิถุนายน – กลางเดือนกรกฎาคม คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของดอกไม้ต้นฤดูฝน ซึ่งพากันผลิดอกสวย งามขึ้นอยู่ตามลานหิน เช่น โคกนกกระบา และ ลานสุริยัน โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือ เวลาที่มีหมอกลงช่วงเช้าโดยมีจุดชมวิวที่ดีที่สุด คือป่าสนบริเวณที่เรียกว่า “แปกดำ”
กิจกรรมแนะนำเมื่อมาท่องเที่ยว
1. ชมดอกเปราะภูบานสะพรั่ง
จุดหลักๆในการชมเปราะภูอยู่ที่บริเวณ “แปกดำ” ด้วยบรรยากาศสองข้างทางอันเขียวชอุ่มชุ่มชื่นดูสดชื่นสบายตามีดอกไม้ ต้นไม้ ใบหญ้า ที่ขึ้นอยู่ริมทางยังดูชุ่มฉ่ำน้ำจากหยาดฝนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่ง “แปกดำ” อยู่ห่างจากที่ทำการมาประมาณ 6 กม.กว่า โดยใช้เวลาเดินจากหน่วยฯประมาณ 2 ชั่วโมง เป็นเส้นทางสบายๆเป็นทางราบ ไม่ต้องขึ้น ๆ ลง ๆ ให้เมื่อย
2. ชมหินประหลาด“โคกนกกระบา”
โคกนกกระบา เป็นก้อนหินประหลาดและมีรูปร่างเหมือนสัตว์ ซึ่งคนที่นี่เขามองเป็นนกกระบาหรือนกตบยุง ทำให้มันมีชื่อเรียกหินนี้ว่าโคกนกกระบา
3. ชมดอกไม้นานาพรรณหลากสี
นอกจากเปราะภูแล้ว ภูหลวงในช่วงฤดูฝนยังมี พืชพันธุ์เด่น ๆ ที่บานชูช่อออกดอกเบ่งบานแข่งกันอวดสายตารับกับสายฝน อีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น เทียนน้อยสีชมพูสด, ตาเหินไหวช่อสีขาวปนเหลือง, หญ้าดอกคำสีเหลืองเล็ก ๆ และหญ้าข้าวก่ำ ดอกเล็ก ๆ สีม่วงแต้มจุดเหลือง ซึ่งเราจะพบดอกไม้เหล่านี้ได้ในระหว่างทาง โดยเฉพาะหญ้าข้าวก่ำที่ มีให้ชมกันเยอะอยู่พอสมควร
ข้อควรรู้
1. ภูหลวงเป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติ
แม้ภูหลวงจะเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แต่ก็เปิดพื้นที่บางส่วนให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปท่องเที่ยวเรียนรู้ และศึกษาธรรมชาติบนนั้น โดยผืนผ่าของ ภูหลวง มีจุดน่าสนใจชวนเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ลานสุริยัน แปกใหญ่ ผาเตลิ่น ผาสมเด็จ โหล่นแต้ โหล่นหินแอ่วขัน รอยเท้าไดโนเสาร์ที่โคกยาว ฯลฯ
2. พืชพรรณไม้มากมาย
ส่วนการชมพืชพรรณไม้ที่ถือเป็นไฮไลท์ของ ภูหลวง นั้น สามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี ในช่วงฤดูหนาวภูหลวงโดดเด่นไปด้วยต้นเมเปิ้ลหรือก่วมแดง (ไฟเดือนห้า) เปลี่ยนสีใบเป็นสีแดงฉาน ร่วมด้วยการผลิดอกจำนวนมากของดอกกระดุมเงิน ดอกหรีด เอื้องดินเนอ กุง รองเท้านารีอินทนน์ และรองเท้านารีปีกแมลงปอ อากาศบนภูหลวง หน้าร้อน แม้จะแห้งแล้ง แต่ฤดูนี้ภูหลวงน่าเที่ยวที่สุด เพราะมีพันธุ์ไม้กล้วยไม้ ออกดอกสวยงามให้ชมมากมาย ซึ่งจะมีกุหลาบแดง (พันปี) ดอกไม้ที่ได้รับการยกย่องเป็นสัญลักษณ์แห่งภูหลวงยามหน้าร้อน โดยพร้อมใจกันออกดอกสะพรั่งสีแดงสดแต่งแต้มผืนป่าให้สวยงาม ยังมีกุหลาบขาวออกดอกผลิบานสะพรั่งอีกเป็นจำนวนมากใน “โคกพรหมจรรย์” ร่วมด้วยกล้วยไม้ตระกูลเอื้อง อย่าง เอื้องตาเหิน เอื้องผึ้ง เอื้องคำหิน เอื้องม่อนไข่ ฯลฯ ส่วนฤดูฝน บนภูหลวงก็มีไฮไลท์อยู่ที่ทุ่งดอกเปราะภูที่พร้อมใจจะเบ่งบานรับสายฝน
ข้อมูลจำเพาะการท่องเที่ยว
- การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานจังหวัดเลย โทรศัพท์ : 042-812-812
- สำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง โทรศัพท์ : 042-801-955