“ต้นปีเราจัดทริปไปเที่ยวกันดีกว่าพี่” เป็นบทสนทนากึ่งเชิญชวน จากรุ่นน้องคนนึงในระหว่างที่เรากำลังมีสังสรรค์ส้มตำปลาร้ากัน “ไปภูบักไดดีมั้ยพี่ เห็นมีคนถ่ายรูปมาสวยดี” ผมเองก็เป็นคนที่ใจง่ายเรื่องเที่ยว เมื่อตรวจสอบวันเวลาเรียบร้อยว่าไม่ชนกับการเดินทางไปที่ไหน ก็ตกปากรับคำทันที โดยที่ไม่ได้สนใจเรื่องจุดหมายปลายทาง และรายละเอียดอื่นใดมากนัก ขอให้ได้เที่ยวเป็นพอ
หลังจากวันนั้นก็ได้รู้จักกับคำว่า ภูบักได ถึงแม้ว่าก่อนเดินทาง จะมีอาการลังเลกันบ้างระหว่าง กิ่วกะล๊คแคมป์จังหวัดน่าน และ ภูบักได แต่สุดท้ายแล้วพวกเราก็ยึดมั่นอุดมการณ์เดิมที่จะไปยังภูบักไดให้ได้
วันที่ 1 : เริ่มเดินทาง
พวกเราเริ่มเดินทางกันคืนวันศุกร์ รอบนี้ใช้รถกระบะยกสูงกันไป เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพ เวลาประมาณ 2 ทุ่มนิด ๆ แต่ปัญหาสำหรับผม ก็เริ่มมาตั้งแต่โค้งแรกที่รถจะเลี้ยวขึ้นทางด่วน อาจจะด้วยเพราะรถกระบะคันนี้ยกสูงและมีการตกแต่งช่วงล่างหรือยังงัยไม่สามารถทราบได้ มันทำให้ผมคนเดียวที่ออกอาการเมารถ จนไม่สามารถที่จะนั่งในห้องโดยสารร่วมกับคนอื่น ๆ ได้ สุดท้ายนั้นต้องระหกระเหินและเนรเทศตัวเองออกมา นอนที่กระบะหลังเพียงคนเดียว … ให้ใบหน้าได้ปะทะต่อสู้กับลมหนาวสลับกับควันรถ ตลอดการเดินทางอย่างเดียวดายเพียงลำพัง
เพราะเมารถทำให้ต้องเนรเทศตัวเองออกมานอนท้ายกระบะคนเดียว ตลอดการเดินทางทั้งไปและกลับ
ไอเท็มที่ช่วยให้รอดตายจากอาการเมารถ
วันที่ 2 : สวัสดี ภูบักได
เราเดินทางมาถึงจังหวัดเลยค่อนข้างเร็ว เวลาประมาณตี 5 นิด ๆ อากาศหนาวใช้ได้กับอุณหภูมิที่ 11 องศา แถมยังเช้ามืด บรรยากาศรอบด้านก็ยังไม่มีแสงสว่าง … ดังนั้นพวกเราก็เลยยังไม่ได้มุ่งหน้าไปที่ภูบักไดทันที … แต่ได้แวะที่อุทยานแห่งชาติภูเรือกันก่อน เพื่อที่จะชมพระอาทิตย์ขึ้นกันที่นี่
เมื่อจอดรถที่ บริเวณทางขึ้นเพื่อที่จะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว … ทางที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูเรือ จะมีรถกระบะสองแถวที่คอยให้บริการ รับนักท่องเที่ยวไปส่งยังจุดชมวิว โดยคิดค่าบริการรอบละ 10 บาทต่อคน … วันที่พวกเรามานั้นตรงกับวันเสาร์ซึ่งส่วนมากแล้วก็เป็นวันหยุดของผู้คนส่วนมาก นักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร แทบจะแทรกหาที่สิงสถิต หรือมุมสวย ๆ เพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้นแทบไม่ได้เลยทีเดียว … แต่เรืองราวไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับผม ในระหว่างที่รอพระอาทิตย์ขึ้น … อะไรรู้มั้ย ให้ทาย???
ใช่ครับ… ผมปวดขี้!!!
ภาพเดียวที่ได้มาระหว่างรอพระอาทิตย์ขึ้นที่อุทยานแห่งชาติภูเรือ
เนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่บอกไป ทำให้ผมอดชมความสวยงามของพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเรือ ไปโดยปริยาย จำใจต้องมาหาห้องน้ำเพื่อทำการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย … และระหว่างรอเพื่อนร่วมทริป ก็หาอาหารรองท้องรองพลาง ๆ …
ในช่วงที่คนอื่น ๆ กำลังชื่นชมบรรยากาศสวย ๆ บนยอดภูเรือ ผมทำได้แค่เพียงหาอะไรรองท้อง ประทังความหนาว
จบแต่เพียงเท่านี้สำหรับการรับชมพระอาทิตย์ขึ้นที่อุทยานแห่งชาติภูเรือ !!!
หลังจากที่ได้ประทับใจกับความสวยงามของพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดภูเรือ … ประชด !!! ก็ได้ฤกษ์เดินทางต่อไปยังที่ทำการชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนตำบลปลาบ่า .. เพื่อเตรียมตัว ชำระล้างร่างกาย และเปลี่ยนขึ้นรถอีแต๊กไปยังตีนภูบักได และเดินเท้าต่อเพื่อไปยังสถานที่กางเต๊นท์ของเรา (ฟังดูลำบากดีมั้ยครับ)
ถึงแล้วครับที่ทำการก่อนขึ้นภูบักได
เมื่อขึ้นไปถึงภูบักไดแล้ว จะไม่มีห้องน้ำ และสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วแนะนำให้อาบน้ำ ทำตัวให้สดชื่นจากที่ทำการไปก่อน ทานอาหารให้อิ่มก่อนเดินทางจากที่ทำการ เลือกเอาเฉพาะสิ่งของที่จำเป็นขึ้นไปเท่านั้น ส่วนสิ่งของอื่น ๆ สามารถฝากไว้ที่นี่ได้เลย
พวกเราไปกันห้าคนครับ เราเลือกที่จะนั่งรถอีแต๊กต่อไปที่ตีนภูบักได เพราะต้องการที่จะซึมซับบรรยากาศและความทรงจำให้ได้มากที่สุด สนนราคาของรถอีแต๊กนั้น 3,000 บาทถ้วน รวมคนขับ 1 คน ซึ่งจะคอยเป็นไกด์นำทางให้เราด้วย รวมถึงช่วยเหลือเราตลอดระยะเวลาที่เราใช้ชีวิตอยู่บนภูบักได เช่น ช่วยหาฟืน, ช่วยหุงหาอาหาร, ก่อไฟ, ช่วยแบกของเท่าที่ช่วยได้ เป็นต้น
สรุปว่าตั้งแต่เราขึ้นรถอีแต๊ก เดินเท้าขึ้นเขานั้นสรุปใช้เวลารวมไปทั้งหมดประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า ๆ ประกอบด้วย
- นั่งรถอีแต๊ก 1 ชั่วโมงนิด ๆ
- เดินเท้าจากตีนภูบักได ไปยังจุดกางเต๊นท์อีก เกือบ ๆ 1 ชั่วโมง ซึ่งจะเป็นทางชันประมาณ 600 เมตร เมื่อขึ้นถึงหลังภูแล้ว ก็เดินต่อไปเป็นทางราบ ประมาณ 3 กิโลเมตร
บนนี้ไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำครับ เพราะจะมีแต่ธรรมชาติและบรรยากาศหนาว ๆ ให้เราเพียงเท่านั้น สิ่งที่ทำได้ก็จะมีการถ่ายรูปรอบ ๆ เดินชมวิวทิวทัศน์ ทำอาหาร เล่นกีต้าร์ เป็นต้น
ไฮไลท์ของที่นี่ คือ ก้อนหิน ก้อนนี้ ใครที่มาแล้วไม่ได้ถ่ายรูปกับก้อนหินก้อนนี้ แล้วทำเหมือนกำลังจะตกเหว ถือว่ามาไม่ถึง ภูบักได
เมื่อเริ่มพลบค่ำนั้น กลุ่มเราที่มากันห้าคน ไม่ได้มีแพลนที่จะทำอาหาร สาเหตุหนึ่งนั้น ผมเองจำข้อมูลผิดระหว่างภูบักได กับ กิ่วกะลก … ซึ่งถ้าเราไปที่กิ่วกะลก เค้าจะมีอาหารให้เราไม่ต้องเตรียมอะไรไป ข้อนี้เองที่ผมนึกว่าภูบักไดมีกับเค้าด้วย เลยไม่ได้เตรียมอะไรมาทั้งสิ้น แม้กระทั่งอาหารที่จะประทังชีวิตในเย็นวันนั้น -..- …
โชคยังดีที่ผู้ร่วมทริปคนอื่น ๆ เค้ามีข้อมูลเพียงพอ เลยซื้อขนมมาตุนเอาไว้ ทำให้ผมรอดตายมาได้ … กิจกรรมของกลุ่มผมในคืนนั้น ก็แค่เพียงก่อกองไฟ เพื่อใช้ในการประทังความหนาว และต้มน้ำสำหรับการกินมาม่า … มีเพียงเท่านี้จริง ๆ แต่ก็มีความสุขล้น อย่างบอกไม่ถูก นั่งได้ไม่นานก็แยกย้ายกับเข้าเต๊นท์ใครเต็นท์มัน นอนขดกันอยู่ในนั้น ยันเช้า .. เพราะความหนาวบวกกับลมหนาว มันทำให้ผมไม่สามารถทนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติได้นานมากนัก
วันที่ 3 : บ๊าย บาย บักได
วันสุดท้ายเดินทางมาถึง หลังจากต่อสู้กับความหนาบเหน็บ หนาวจนสะท้านไปถึงกระดูกมาทั้งคืน … แต่ถึงจะหนาวขนาดไหน ผมเองก็ยังมีใจที่จะลุกมาท้าลมหนาวด้วยการแหงนมองฟ้า ดูดาว บนยอดภูบักไดเป็นระยะเวลาหนึ่ง เท่านี้ก็เพียงพอแล้วแหละ เดี๋ยวตายซะก่อน 55
ตลอดทั้งคืนผมหลับค่อนข้างสนิท แต่ก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะลุกออกมาจากเต๊นท์สักเท่าไหร่ ระหว่างนั้นคนอื่น ๆ ก็ทยอยออกมาสูดอากาศยามเช้า และถ่ายรูปกันบ้างแล้ว แต่ผมนั้นออกมาสู้ลมหนาวไม่ไหวจริง ๆ เพราะพัดแรงมาก
เมื่อทุกคนกลับมารวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มเก็บกวาดที่นอน พื้นที่รอบ ๆ เพื่อความสะอาดและจะได้เตรียมตัวกลับกัน ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็พร้อมเดินเท้า
ก่อนกลับก็แวะถ่ายรูปอีกสักหน่อย
สิ่งที่ควรเตรียมก่อนมาเที่ยวภูบักได
- อาหารและเครื่องดื่มทุกมื้อ ให้เพียงพอสำหรับใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่จะพัก
- หากต้องการทำอาหารบนนี้ ก็เตรียมอุปกรณ์สำหรับทำอาหารมาด้วย เช่น เตาถ่าน, เตาแก๊ส, มีด, เขียง เป็นต้น
- ถุงใส่ขยะ
- ทิชชู่เปียก
- อุปกรณ์กันหนาว ให้เพียงพอ เพราะที่นี่อากาศเย็นถึงหนาวมาก โดยเฉพาะช่วงกลางคืน แถมเจอกับลมแรงตลอดเวลา ยิ่งหนาวเข้ากระดูกเข้าใหญ่
- อุปกรณ์ยังชีพอื่น ๆ ที่จำเป็น
- รองเท้าที่เหมาะสำหรับเดินป่า ถ้าใครที่มาสายวิ่ง จะใช้รองเท้าวิ่งเทรลก็ได้นะครับ
- ใครเมารถควรเตรียมยาไปด้วย แล้วก็ทานยาแก้เมารถก่อนออกเดินทาง จะช่วยได้เยอะ
พี่คนกลาง (ที่ใส่แว่นดำ) คือผู้ที่คนพบภูบักได
สรุปการเดินทาง
จากการเดินทางในครั้งนี้ สำหรับผมแล้วเป็นทริปเล็ก ๆ ที่ประทับใจพอสมควร ทั้งสถานที่ที่ไป (ภูบักได) และแน่นอน ผู้ร่วมทริปของผม อย่างที่บอกไปแล้วว่า ภูบักได นั้นเปิดให้ท่องเที่ยวมาเพียงประมาณ 3-4 ปีเท่านั้น (ณ วันที่เขียนบล๊อคนี้ ปี 2019) ดังนั้นเสน่ห์ดึงดูดของที่นี่ก็คือ ธรรมชาติที่ยังไม่โดนทำลาย การเดินทางเข้าถึงที่ค่อนข้างยาก แต่ก็ไม่ถึงกับลำบาก และสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปีค่อนไปทางหนาวด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่ไม่ประทับใจก็มีเหมือนกัน นั้นก็คือ ปริมาณขยะที่เริ่มจะมีเยอะและกระจายทั่วพื้นที่ โดยเฉพาะทิชชู่แบบเปียก สาเหตุก็คงเป็นเพราะว่าที่นี่ยังไม่มีห้องน้ำ และพื้นที่สำหรับเก็บขยะที่เป็นสัดส่วน ผมว่าอีกไม่นานจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะหลั่งไหลมาที่นี่จะต้องมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่ก็จะเป็นโจทย์ใหญ่สำคัญเลยของเจ้าหน้าที่ ่าจะรับมือมวลนักท่องเที่ยว และบริหารจัดการจำนวนขยะที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างไร
ใครที่มีโอกาสมาถึง ภูบักได และหลงรักที่นี่ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ อย่างน้อยก็เก็บขยะที่เราได้สร้างเอาไว้ ไปทิ้งไว้ที่ ที่จัดไว้ให้กันนะครับ เสน่ห์ของที่นี่จะได้ไม่หายไปตามกาลเวลา
พิกัดที่ทำการชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนตำบลปลาบ่า
เบอร์โทรศัพท์ : 087 866 2648, 095 701 3139