บล็อกเชน (Blockchain) เป็นเทคโนโลยีบันทึกข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology: DLT) ที่มีลักษณะเด่นคือความโปร่งใส น่าเชื่อถือ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ บล็อกเชนถูกนำมาประยุกต์ใช้กับหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก และหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เทคโนโลยีบล็อกเชนมีศักยภาพที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญคืออุตสาหกรรมเกษตร
ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีบล็อกเชน และสำรวจศักยภาพของการนำบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับการเกษตร ว่ามีแนวทางและประโยชน์อย่างไรบ้าง
บล็อกเชนคืออะไร
บล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีบันทึกข้อมูลแบบกระจายศูนย์ โดยใช้อัลกอริทึมการเข้ารหัส (Cryptography) ในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างโหนด (Node) ต่าง ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายเข้าด้วยกัน ข้อมูลที่ถูกบันทึกในบล็อกเชนจะถูกจัดเก็บไว้ในรูปแบบของบล็อก (Block) โดยแต่ละบล็อกจะมีข้อมูลต่าง ๆ เช่น ข้อมูลธุรกรรม ข้อมูลดิจิทัล ข้อมูลสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) เป็นต้น
บล็อกเชนมีคุณสมบัติเด่นหลายประการ ได้แก่
ความโปร่งใส: ข้อมูลในบล็อกเชนสามารถตรวจสอบได้โดยทุกคนในเครือข่าย ไม่มีการปิดบังข้อมูล
ความน่าเชื่อถือ: ข้อมูลในบล็อกเชนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา
ความไร้ศูนย์กลาง: บล็อกเชนเป็นระบบกระจายศูนย์ ไม่มีการศูนย์กลางข้อมูลไว้ที่ใดที่หนึ่ง
การนำบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับการเกษตร
การนำบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับการเกษตร ช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนวทางการนำบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับการเกษตร มีดังนี้
- การติดตามและตรวจสอบย้อนกลับ: บล็อกเชนสามารถนำมาใช้ในการติดตามและตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ช่วยให้สามารถตรวจสอบแหล่งที่มา คุณภาพ และความปลอดภัยของสินค้าเกษตรได้
- การจัดตั้งตลาดกลางเกษตรดิจิทัล: บล็อกเชนสามารถนำมาใช้ในการจัดตั้งตลาดกลางเกษตรดิจิทัล (Digital Agricultural Marketplace) ซึ่งช่วยให้เกษตรกรสามารถซื้อขายสินค้าเกษตรได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
- การกระจายอำนาจ: บล็อกเชนสามารถนำมาใช้ในการกระจายอำนาจให้แก่เกษตรกร ช่วยให้เกษตรกรสามารถควบคุมข้อมูลของตนเองได้ และลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง
ประโยชน์ของการนำบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับการเกษตร
การนำบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับการเกษตร ก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย ดังนี้
- เพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใส: บล็อกเชนช่วยให้สามารถติดตามและตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความโปร่งใสให้แก่อุตสาหกรรมเกษตร
- ลดต้นทุน: บล็อกเชนสามารถช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานของอุตสาหกรรมเกษตร เช่น ต้นทุนในการติดตามและตรวจสอบสินค้าเกษตร ต้นทุนในการขนส่งสินค้าเกษตร เป็นต้น
- เพิ่มรายได้: บล็อกเชนสามารถช่วยให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงตลาดและผู้บริโภคได้โดยตรง เพิ่มโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร
กรณีศึกษาการนำบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับการเกษตร
ในปัจจุบัน มีการทดลองนำบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับการเกษตรในหลายประเทศทั่วโลก เช่น
- TraceLink: บริษัทเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา ได้นำบล็อกเชนมาใช้ในการติดตามและตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตร เช่น อาหารทะเล ยา และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์
- IBM: บริษัทเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา ได้นำบล็อกเชนมาใช้ในการจัดตั้งตลาดกลางเกษตรดิจิทัล (Digital Agricultural Marketplace) ชื่อว่า IBM Food Trust
- AgriDigital: บริษัทเทคโนโลยีจากออสเตรเลีย ได้นำบล็อกเชนมาใช้ในการจัดตั้งตลาดกลางเกษตรดิจิทัล (Digital Agricultural Marketplace) ชื่อว่า AgriDigital
อนาคตของบล็อกเชนกับการเกษตร
เทคโนโลยีบล็อกเชนยังคงอยู่ในระยะเริ่มต้นของการพัฒนา แต่มีศักยภาพที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมเกษตร ในอนาคต คาดว่าเราจะได้เห็นการนำบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับการเกษตรในหลากหลายรูปแบบมากขึ้น เพื่อช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น