ตำนานแวมไพร์เป็นตำนานพื้นบ้านที่เล่าขานกันมายาวนานหลายศตวรรษ โดยเชื่อว่าเป็นผีดิบที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยง โดยที่แวมไพร์จะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันแก่และตาย จะปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะกลางวันแพ้แสงแดด
ความเชื่อเกี่ยวกับแวมไพร์มีปรากฏอยู่ในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก เช่น วัฒนธรรมเมโสโปเตเมีย ฮิบรู กรีกโบราณ และโรมัน มีการเล่าขานเรื่องเล่าของปีศาจและวิญญาณที่ตีความว่าเป็นที่มาของแวมไพร์สมัยใหม่
ความเชื่อในรูปธรรมที่เรารู้ในปัจจุบันของต้นกำเนิดแวมไพร์ มักมาจากต้นศตวรรษที่ 18 ทางแถบตะวันออกเฉียงใต้ของยุโรป เมื่อประเพณีการเล่าขานของคนหลายเผ่าพันธุ์ต่างบันทึกและตีพิมพ์
ในความเชื่อของชาวยุโรป แวมไพร์มักเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
- คนที่ตายแล้วถูกฝังไม่ถูกต้อง เช่น ไม่ฝังศพลึกพอ หรือศพถูกเปิดออก
- คนที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ผิดปกติ เช่น ถูกฆ่าตาย ถูกสาปแช่ง หรือถูกแวมไพร์กัด
- คนที่มีชีวิตอยู่ แต่มีพฤติกรรมชั่วร้าย เช่น ฆ่าตัวตาย หรือทำผิดศีลธรรม
แวมไพร์มีความเชื่อที่โดดเด่นหลายประการ ดังนี้
- มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่มีฟันแหลมคม จมูกแหลม และดวงตาเป็นสีแดงก่ำ
ดื่มเลือดของมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหาร เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายให้มีชีวิตอยู่ - เป็นอมตะ ไม่มีวันแก่และตาย
- ปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะกลางวันแพ้แสงแดด
- หลบซ่อนอยู่ในโลงของตนหรือในหลุมในเวลากลางวัน
- สามารถแปลงร่างได้หลายแบบ เช่น ค้างคาว หมาป่า นกฮูก เป็นต้น
- สามารถกำบังกายหายตัวได้
- ไม่มีเงาเมื่อกระทบกับแสงหรือสะท้อนในกระจก
- มีแรงมากเหมือนผู้ชาย 20 คน รวมถึงสามารถบังคับสิ่งของให้เคลื่อนที่ด้วยอำนาจของตนได้ด้วย
สิ่งที่จะกำราบแวมไพร์ได้คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น ไม้กางเขน น้ำมนตร์ หรือแม้กระทั่งสมุนไพรกลิ่นแรงบางชนิด เช่น กระเทียม
วิธีการฆ่าแวมไพร์มีมากมาย เช่น ตอกลิ่มให้ทะลุหัวใจ เผา หรือตัดหัวด้วยจอบของสัปเหร่อ
บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของแวมไพร์ จะกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วย และกลายเป็นสาวกของแวมไพร์ตนที่ดูดเลือดตัวเอง
ความเชื่อเกี่ยวกับแวมไพร์ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับวรรณกรรม ภาพยนตร์ และวัฒนธรรมสมัยนิยมมากมาย