ผีกระสือเป็นผีที่เป็นที่รู้จักกันดีในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย เชื่อกันว่ากระสือเป็นผีผู้หญิงที่เสียชีวิตแล้ว โดยส่วนหัวและลำตัวจะแยกออกจากกัน เหลือเพียงไส้ตับไตพุงห้อยออกมา กระสือจะออกหากินในเวลากลางคืน โดยชอบกินของสดคาว เช่น เลือด เนื้อ ซากศพ บางครั้งก็อาจกินของสกปรก เช่น มูลสัตว์ ของโสโครก เป็นต้น
ลักษณะของผีกระสือ
ตามตำนานเล่าขานกันมา กระสือจะมีรูปร่างเป็นผู้หญิงสูงใหญ่ มีผมยาวสลวย ใบหน้าซีดขาว ดวงตาแดงก่ำ ปากแสยะยิ้ม ที่สำคัญคือส่วนหัวและลำตัวจะแยกออกจากกัน เหลือเพียงไส้ตับไตพุงห้อยออกมา ส่วนไส้ตับไตพุงจะมีแสงเรืองออกมา ทำให้มองเห็นได้ในเวลากลางคืน
สาเหตุที่กลายเป็นกระสือ
สาเหตุที่ผู้หญิงกลายเป็นกระสือนั้น มีหลายประการ เช่น
- ผิดศีลธรรม เช่น ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าสามี ฆ่าลูก
- ผิดเวรกรรม เช่น เบียดเบียนผู้อื่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
- บูชาไสยศาสตร์มนต์ดำ แต่ทำผิดข้อห้าม จนกลายเป็นกระสือไปในที่สุด
วิธีปราบผีกระสือ
วิธีปราบผีกระสือนั้น มีหลายวิธี เช่น
- ใช้ไม้เท้าหรือท่อนไม้ฟาดไปที่ไส้ตับไตพุง จะทำให้กระสือตายได้
- ใช้ไฟเผาไส้ตับไตพุง จะทำให้กระสือตายได้
- ใช้น้ำมนต์หรือพระคาถาปราบผี จะทำให้กระสือกลับคืนสู่สภาพเดิมได้
ความเชื่อเกี่ยวกับผีกระสือ
ความเชื่อเกี่ยวกับผีกระสือนั้นมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของคนไทยโบราณหลายประการ เช่น
- ผลกล้วยที่แกร็นทั้งเครือ จะเรียกว่า “กล้วยกระสือดูด”
- คนตะกละกินหรือคนที่กินอย่างสวาปาม จะเรียกว่า “คนตะกละเหมือนผีกระสือ” หรือ “คนกินเหมือนผีกระสือ”
- โคมชนิดหนึ่งซึ่งมีที่เปิดปิดไฟได้และมีแว่นฉายแสงไปได้วาบ ๆ เรียกว่า “โคมตาวัว” หรือ “กระสือ”
- ไพลชนิดหนึ่งซึ่งเรืองแสงได้ในที่มืด เรียกว่า “ว่านกระสือ”
- เห็ดจำพวกหนึ่งสามารถเรืองแสงได้ในที่มืด เรียกว่า “เห็ดกระสือ”
แม้ปัจจุบันนี้ความเชื่อเรื่องผีกระสือจะค่อย ๆ เลือนหายไป แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่เล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้